โรคมือ เท้า ปาก (Hand, foot and mouth disease หรือ HFMD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยแถมยังติดต่อง่ายในหมู่เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ผู้ปกครองจึงควรรู้วิธีดูแลลูกเมื่อเป็นโรคมือ เท้า ปาก อย่างถูกวิธี รวมถึงการป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือให้ทันหากลูกรักป่วย
โรคมือ เท้า ปากมีต้นเหตุจากการติดเชื้อกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งสายพันธุ์ระบาดทั่วไป ไม่รุนแรง คือ คอกซากีไวรัส (Coxsackievirus) และยังมีสายพันธุ์อันตรายที่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิต นั่นคือ เอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71: EV71)
สารบัญ
เมื่อลูกเป็นโรคมือ เท้า ปาก ดูแลอย่างไร
การติดเชื้อต้นเหตุโรคมือ เท้า ปากไม่มีการรักษาเฉพาะ หากอาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เองใน 7–10 วัน ผู้ปกครองสามารถดูแลลูกตามอาการ เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายเด็กให้กลับมาแข็งแรงโดยไว ดังนี้
ทานยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ
ให้ลูกทานยาตามอาการในปริมาณยาที่เหมาะสม เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ อย่างยาพาราเซตามอลหรือยาไอบูโพรเฟน ยาชาทาภายในปาก อย่างยาลิโคเดน (Lidocaine) หรือยาแก้แพ้ เพื่อช่วยลดตุ่มผื่นที่ผิวหนัง
ทั้งนี้ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะให้ลูกทาน เนื่องจากโรคมือ เท้า ปาก เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ใช่แบคทีเรีย และไม่ควรให้เด็กทานยาแก้ปวดแอสไพริน เพราะอาจเสี่ยงเกิดกลุ่มอาการเรย์ (Reye’s syndrome) ทำให้สมองและตับเสียหายได้
บรรเทาอาการภายในช่องปาก
การกลั้วปากด้วยน้ำเกลือมีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดและแผลในช่องปาก หากเด็กโตพอจะกลั้วหรือบ้วนปากได้แล้ว ให้ลูกบ้วนปากเป็นประจำทุกวันด้วยน้ำเกลือสำเร็จรูป หรือผสมน้ำต้มสุกปริมาณ 240 มิลลิลิตร กับเกลือ 1 ช้อนชา
ทดแทนน้ำที่ร่างกายเสียไป
ให้เด็กจิบน้ำสะอาด นม หรือเกลือแร่ (ORS) บ่อย ๆ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะหากเริ่มพบสัญญาณขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำ ปากแห้ง ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ตาโหล หรืออ่อนเพลีย
ปรับการทานอาหาร
เลือกอาหารย่อยง่ายหรืออาหารรสอ่อนให้เด็ก เช่น โจ๊กหรือข้าวต้ม ทานของเย็นอย่างไอศกรีมได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดและเปรี้ยว รวมถึงเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น น้ำผลไม้รสเปรี้ยว น้ำอัดลม หรือโซดา เพราะจะทำให้เจ็บแผลในปากมากขึ้น
วิธีลดการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นเมื่อลูกเป็นโรคมือ เท้า ปาก
โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อผ่านการสูดดมละอองเชื้อไวรัสในอากาศ การสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยไม่ว่าจะน้ำลาย น้ำมูก น้ำในตุ่ม หรืออุจจาระ
การสัมผัสอาหาร น้ำ พื้นผิวสิ่งของ เช่น ของใช้หรือของเล่น กระทั่งมือของคุณครูหรือพ่อแม่ที่ปนเปื้อนเชื้อก็เช่นกัน เมื่อเด็กเผลอนำมือของตนมาจับใบหน้า เชื้อก็อาจเข้าสู่ร่างกายได้
เด็กที่ป่วยมักมีเชื้อไวรัสก่อโรคมือ เท้า ปาก ปริมาณมากในช่วงแรกของการป่วยหรือภายใน 7 วันแรกที่แสดงอาการ และถึงแม้อาการจะหายไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสยังคงอยู่ในร่างกายหรือในอุจจาระได้นานเป็นสัปดาห์ เชื้อก่อโรคนี้จึงแพร่กระจายได้ง่ายมาก
เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปสู่คนในครอบครัวหรือคนอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุดระหว่างรักษาตัวที่บ้าน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ให้เด็กหยุดเรียนหรือแยกกักตัวออกจากคนอื่น ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
- สวมหน้ากากอนามัยหรือใช้ผ้าปิดปากขณะไอหรือจาม
- หมั่นล้างมือและแขนของเด็กและผู้ปกครองให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่
- หมั่นทำความสะอาดของเล่นหรือพื้นผิวบริเวณต่าง ๆ ในบ้านที่มักสัมผัสบ่อยครั้ง
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันกับเด็ก เช่น ผ้าขนหนู ช้อน ส้อม หรือแก้วน้ำ
- ซักเครื่องนอนและเสื้อผ้าที่อาจปนเปื้อนเชื้อด้วยผงซักฟอกและน้ำร้อน
อาการโรคมือ เท้า ปากในเด็ก กี่วันหาย
หากอาการไม่รุนแรง เด็กมักหายจากโรคมือ เท้า ปากภายใน 7–10 วัน โดยอาการช่วงแรกจะคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ต่ำ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ปวดท้อง หรือไม่อยากอาหาร
ถัดมาไม่กี่วันจะพบอาการเด่นตามชื่อโรคมือ เท้า ปาก ได้แก่ ผื่นคัน ตุ่มน้ำใส หรือตุ่มแดงที่ฝ่ามือ เท้า ข้อศอก รอบอวัยวะเพศและทวารหนัก รวมถึงแผลในเยื่อบุช่องปากบริเวณลิ้น เหงือก เพดานปาก และกระพุ้งแก้ม
อาการโรคมือ เท้า ปากในเด็กแบบไหน ควรพาไปพบแพทย์
โรคมือ เท้า ปากจากเชื้อไวรัส EV71 อาจก่อให้เกิดอาการที่รุนแรง เพิ่มโอกาสของภาวะแทรกซ้อนทางสมอง หัวใจ หรือการหายใจ เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ น้ำท่วมปอด หัวใจล้มเหลว และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
หากผู้ปกครองพบสัญญาณของโรคมือ เท้า ปากที่ผิดปกติหรือรุนแรง ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะอาการดังต่อไปนี้
- อาการป่วยของลูกไม่ดีขึ้นภายใน 10 วัน
- ตัวร้อน หนาวสั่น ไข้สูงนานกว่า 2–3 วัน
- ทานอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้
- ปากแห้ง ร่างกายขาดน้ำ อาเจียนบ่อยครั้งหรือรุนแรง
- มีตุ่มน้ำใสหรืออาการคันรุนแรง
- ซึม ไม่รู้สึกตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง เดินเซ
วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปากไม่ให้ลูกกลับมาเป็นซ้ำ
แม้เด็กเป็นโรคมือ เท้า ปากไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังสามารถป่วยซ้ำได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสก่อโรคนั้นมีหลายสายพันธุ์มาก หากเด็กติดเชื้อคอกซากีไวรัสก็จะมีภูมิแค่กับเชื้อชนิดนี้เท่านั้น ไม่อาจสร้างภูมิต่อเชื้อ EV71 ได้
ผู้ปกครองจึงปลูกฝังวิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปากให้กับลูกรักและคนในครอบครัวอยู่เสมอ เช่น
- สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในสถานที่แออัดหรือสถานที่ระบาด
- เสริมสุขนิสัยรักษาความสะอาดให้กับเด็กและคนที่ดูแลเด็ก เช่น ปิดปากเมื่อไอจาม ล้างมือก่อนเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก รวมถึงก่อนทำอาหารและทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ หรือสัมผัสคนป่วย
- หมั่นทำความสะอาดของเล่น กระเป๋านักเรียนลูก หรือของที่ใช้บ่อย ด้วยสบู่ ผงซักฟอก น้ำยาฟอกขาว หรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป
- อยู่ให้ห่างจากคนที่มีอาการป่วย มีไข้ ไอ หรือจาม และไม่คลุกคลี กอด หอมผู้ป่วย
- ไม่ให้ยืมของใช้ส่วนตัวที่อาจปนเปื้อนน้ำลายได้ง่าย โดยเฉพาะช้อนส้อม แก้วน้ำ หลอดดูด หรือผ้าเช็ดหน้า
นอกจากนี้ เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 5 ปี ยังสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อ EV71 ได้ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ป้องกันสายพันธุ์ที่อันตรายและรุนแรงอย่าง EV71 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วัคซีนโรคมือ เท้า ปาก จะฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 1 เดือน เมื่อฉีดครบแล้วจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคราว 97% ลดอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนถึง 100% แม้ผ่านไปแล้ว 2 ปี ภูมิคุ้มกันยังคงสูงกว่า 98%
โรคมือ เท้า ปากที่รุนแรงพบได้ประมาณ 0.05–1% แต่คงไม่มีผู้ปกครองคนไหนอยากเห็นลูกรักเจ็บป่วยต่อหน้า การดูแลลูกเมื่อป่วยและเรียนรู้ที่จะป้องกันโรค ไม่ให้ป่วยซ้ำ จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อให้ได้มากที่สุด