ลูกมีไข้ ปากเป็นแผล มือเท้ามีผื่นหรือตุ่มน้ำใส อาจไม่ใช่แค่เป็นหวัดธรรมดาหรือแพ้อากาศ แต่นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมือ เท้า ปาก ที่พ่อแม่ควรรู้!
โรคมือ เท้า ปาก หนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก ติดต่อกันได้ง่าย และบางครั้งอาการก็รุนแรงกว่าที่คิด ในบทความนี้จะพามาดูสาเหตุ อาการที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตกัน รวมถึงแนะนำวิธีป้องกันลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคนี้
สารบัญ
โรคมือ เท้า ปาก คืออะไร?
โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot and Mouth Disease หรือ HFMD) คือ โรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในเด็กอายุไม่เกิน 5 ปี โดยเฉพาะในศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาล ซึ่งมักจะมีการสัมผัสหรือเล่นของเล่นร่วมกันบ่อยๆ
โดยโรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสกลุ่ม Enterovirus ซึ่งชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดคือ Coxsackievirus A16 และ Enterovirus 71 (EV71)
ในบางกรณีที่โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์รุนแรง เช่น Enterovirus 71 อาจทำให้เด็กเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) หรือสมองอักเสบ (encephalitis) ได้
โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากอะไร?
โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม Enterovirus ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โดยเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ Coxsackievirus A16 และ Enterovirus 71 (EV71)
ไวรัสเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปากหรือจมูกจากการสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก น้ำในตุ่มพอง รวมถึงอุจจาระของผู้ติดเชื้อ ซึ่งมักแพร่กระจายได้ง่ายในสถานที่ที่เด็กอยู่รวมกัน เช่น โรงเรียนหรือเนิร์สเซอรี่
ในกรณีส่วนใหญ่ เชื้อไวรัส Coxsackievirus A16 เป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปากแบบอาการไม่รุนแรง แต่อีกสายพันธุ์หนึ่งอย่าง EV71 นั้นสามารถทำให้เกิดอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจล้มเหลว และร้ายแรงกว่านั้นคือทำให้เสียชีวิตได้
โดยเชื้อไวรัสเหล่านี้จะสามารถอยู่ในร่างกายของผู้ติดเชื้อได้นานหลายวัน ถึงแม้จะไม่มีอาการแล้วก็ตาม จึงทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดทำได้ยากหากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม
โรคมือ เท้า ปาก อาการเป็นอย่างไร?
โรคมือ เท้า ปาก อาการมักเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเจ็บคอ จากนั้นจึงเริ่มมีตุ่มพองใสปรากฏขึ้นตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายภายใน 1-2 วันหลังมีไข้ ซึ่งอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- แผลในปาก (Oral ulcers) : มักพบบริเวณกระพุ้งแก้ม ลิ้น หรือเพดานปาก ลักษณะเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มน้ำใสๆ เมื่อแตกจะกลายเป็นแผล ทำให้เด็กเจ็บและไม่อยากกินอาหาร
- ผื่นหรือตุ่มน้ำใสที่มือและเท้า : มักขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า บางรายอาจพบที่ก้นหรือข้อพับด้วย
- มีไข้ (Fever) : ส่วนใหญ่มักมีไข้ไม่สูง แต่บางรายโดยเฉพาะที่ติดเชื้อสายพันธุ์รุนแรง เช่น EV71 อาจมีไข้สูงร่วมกับอาการซึมหรืออาเจียน
เด็กบางคนอาจไม่มีผื่นที่ครบทุกตำแหน่ง แต่ถ้าหากมีไข้ร่วมกับแผลในปากและผื่นตามมือเท้า ก็ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคมือ เท้า ปาก ได้
โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อกันได้ไหม?
การติดต่อของโรคมือ เท้า ปาก สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการหรือในระยะแรกของการติดเชื้อ โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคมือ เท้า ปาก จะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านช่องทางต่างๆ ต่อไปนี้
- ละอองน้ำลายหรือเสมหะ (Respiratory droplets) ขณะไอ จาม หรือพูดใกล้ชิด
- การสัมผัสน้ำในตุ่มพองหรือแผลที่ผิวหนังของผู้ที่ป่วย
- อุจจาระของผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะในเด็กที่ยังขับถ่ายไม่เป็นที่หรือยังต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม
- การใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ เช่น ของเล่น แก้วน้ำ หรือผ้าเช็ดตัว
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าอาการมือ เท้า ปาก จะหายแล้ว แต่เชื้อยังสามารถหลุดออกจากร่างกายผ่านทางอุจจาระได้นานถึงหลายสัปดาห์ ซึ่งทำให้เด็กที่ดูเหมือนหายแล้วยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อยู่โดยไม่รู้ตัว
ด้วยสาเหตุนี้ โรคมือ เท้า ปาก จึงสามารถระบาดได้ง่ายในสถานที่ที่เด็กอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก หรือสนามเด็กเล่น หากไม่มีการดูแลสุขอนามัยอย่างเหมาะสม
โรคมือ เท้า ปาก กี่วันหาย?
หลายคนที่สงสัยว่า โรคมือ เท้า ปาก กี่วันหาย? โดยทั่วไปแล้วโรคมือ เท้า ปาก จะมีอาการอยู่ประมาณ 7-10 วัน แล้วสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากไวรัส ไม่ใช่แบคทีเรีย
โดยลำดับอาการของโรคมักเป็นดังนี้
- วันแรก-วันที่ 2 : เริ่มมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร เจ็บคอ
- วันที่ 2-3 : เริ่มมีแผลในปากและมีผื่นหรือตุ่มน้ำใสที่มือ เท้า หรือก้น
- วันที่ 4-7 : ผื่นและแผลเริ่มแห้งหายไป เด็กส่วนใหญ่อาการดีขึ้น
- หลังวันที่ 7 เป็นต้นไป : อาการหายเป็นปกติ แต่ยังต้องดูแลสุขอนามัย เพราะเชื้อไวรัสอาจยังคงอยู่ในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนอาจมีอาการไม่ครบทุกตำแหน่งและในกรณีที่ติดเชื้อสายพันธุ์รุนแรงอย่าง EV71 อาจมีไข้สูง ซึม หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ซึ่งอาจต้องพักฟื้นนานกว่า 10 วัน และควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
โรคมือ เท้า ปาก มีวิธีรักษาอย่างไร?
การรักษามือ เท้า ปาก ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะ ดังนั้นการรักษาโรคมือ เท้า ปาก จึงเป็นรูปแบบการประคับประคองตามอาการ โดยมีแนวทางการดูแลและรักษา ดังนี้
- ลดไข้และบรรเทาอาการเจ็บ : หากเด็กมีไข้หรือปวดเมื่อยร่างกาย สามารถใช้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ได้ตามคำแนะนำของแพทย์
- บรรเทาอาการแผลในปาก : ให้ดื่มน้ำเย็น หลีกเลี่ยงอาหารร้อน เผ็ด หรือมีรสเปรี้ยวจัด เพราะอาจทำให้แผลในปากระคายเคืองมากขึ้น อาหารที่แนะนำ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ไอศกรีม หรือโยเกิร์ต เพื่อช่วยให้เด็กได้รับสารอาหารโดยไม่เจ็บปากมาก
- ป้องกันภาวะขาดน้ำ : พ่อแม่ต้องคอยสังเกตว่าเด็กดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงที่เจ็บปากมาก หากดื่มน้ำน้อยลง ปัสสาวะลด หรือดูอ่อนเพลีย ควรรีบพาไปพบแพทย์
- ดูแลสุขอนามัยและพักผ่อนให้เพียงพอ : ควรให้เด็กหยุดเรียนจนกว่าไข้จะลด ผื่นแห้ง และแผลในปากเริ่มหาย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ รวมถึงหมั่นล้างมือให้เด็กและทำความสะอาดของเล่นหรือของใช้ส่วนตัวเป็นประจำ
วิธีป้องกันโรค มือ เท้า ปาก เพื่อให้ลูกน้อยปลอดภัยจากโรคนี้
แม้ว่าโรคมือ เท้า ปาก จะหายได้เองในเด็กส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นโรคที่แพร่กระจายได้ง่าย รวมถึงถ้าหากติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ EV71 ยังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ด้วย ดังนั้นการป้องกันโรคมือ เท้า ปากอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยแนวทางสำคัญสำหรับการป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่พ่อแม่ควรใส่ใจ มีดังนี้
- รับวัคซีนมือ เท้า ปาก เพื่อป้องกันโรค : ปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันมือเท้าปาก (Enterovirus Type71 Vaccine) ที่ช่วยป้องกันมือ เท้า ปาก สายพันธุ์ EV71 ได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการลดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี จำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน
- หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ : ฝึกให้เด็กล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ ก่อนรับประทานอาหาร และหลังกลับจากโรงเรียน เพราะเชื้อไวรัสสามารถติดอยู่ตามมือของเด็กได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น : ไม่ควรให้เด็กใช้แก้วน้ำ ช้อน ผ้าเช็ดหน้า ของเล่น หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการสัมผัสกับเชื้อที่อาจติดอยู่ตามสิ่งของ
- ทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย : ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดของเล่น โต๊ะเรียน หรือพื้นผิวที่เด็กมักสัมผัสเป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีเด็กป่วยอยู่ในบ้านหรือโรงเรียน
- ให้ลูกเลี่ยงการเข้าใกล้เด็กที่มีอาการสงสัยว่าเป็นโรค : หากพบว่าเด็กคนอื่นมีไข้ ผื่น หรือตุ่มน้ำใสบริเวณมือ เท้า ปาก ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้และแจ้งให้คุณครูหรือผู้ดูแลทราบเพื่อแยกเด็กออกจากกลุ่ม
หากลูกป่วยควรหยุดเรียนจนกว่าจะหายดี : ในช่วงที่เด็กมีไข้หรือมีแผลในปากยังสามารถแพร่เชื้อได้ง่าย ควรให้เด็กหยุดเรียนและพักผ่อนที่บ้านจนกว่าอาการจะหายดี เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปยังเพื่อนร่วมชั้น