เชื่อว่าหลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ “โรคกรวยไตอักเสบ” แต่อาจยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร ทำไมกรวยไตถึงอักเสบได้ มันเกิดจากปัจจัยใด แล้วอันตรายร้ายแรงมากแค่ไหน เรามาเจาะลึกข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับโรคกรวยไตอักเสบกันในบทความนี้
สารบัญ
โรคกรวยไตอักเสบ คืออะไร?
โรคกรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) คือ การติดเชื้อแบคทีเรียอย่างฉับพลันที่กรวยไตจนทำให้เกิดภาวะอักเสบ โดยส่วนมากมักเป็นการติดเชื้อที่ลุกลามมาจากท่อปัสสาวะก่อน และเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยจะเป็นเชื้ออีโคไล (Escherichia Coli: E.Coli) เชื้อแบคทีเรียช่วยย่อยอาหารที่พบได้ในลำไส้ของมนุษย์
สาเหตุของโรคกรวยไตอักเสบ
โรคกรวยไตอักเสบมีสาเหตุสำคัญมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ โดยปัจจัยที่พบได้บ่อยที่ทำให้กรวยไตรวมถึงทางเดินปัสสาวะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่
- การอุดตันที่ทางเดินปัสสาวะ เช่น จากการมีก้อนนิ่ว จากการเป็นโรคต่อมลูกหมากโต จากการตั้งครรภ์จนมดลูกขยายตัวไปเบียดทางเดินปัสสาวะ
- สรีระของร่างกาย ผู้หญิงซึ่งท่อปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชาย และอยู่ใกล้ทวารหนักมากกว่าจึงมีโอกาสเป็นโรคกรวยไตอักเสบได้สูงกว่า
- โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง การติดเชื้อไวรัส HIV ภาวะภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง
- ความผิดปกติของเส้นประสาทหรือไขสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการขับปัสสาวะได้เต็มที่ รวมถึงขับปัสสาวะได้ไม่หมด และลุกลามกลายเป็นการติดเชื้อในภายหลัง
- อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในเพศหญิงที่เมื่อเข้าสู่วัยทอง ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงลดลง และเพิ่มโอกาสการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเชื้อแบคทีเรียจนทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
อาการของโรคกรวยไตอักเสบ
อาการของโรคกรวยไตอักเสบนั้น มีหลายอาการประกอบกัน ดังนี้
- มีไข้ หนาวสั่น
- บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
- ปวดท้อง ปวดหลังด้านล่าง ปวดบั้นเอว
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- รู้สึกแสบขัดระหว่างปัสสาวะ
- มีเลือดหรือมีน้ำหนองปนในปัสสาวะ
- รู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลา ต้องปัสสาวะบ่อยขึ้นอย่างผิดสังเกต
- ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
การตรวจวินิจฉัยโรคกรวยไตอักเสบ
กระบวนการตรวจวินิจฉัยโรคกรวยไตอักเสบมักประกอบไปด้วยการตรวจ 5 รายการหลักดังต่อไปนี้
- การตรวจร่างกายและซักประวัติสุขภาพกับแพทย์ โดยแพทย์จะตรวจดูอาการปวด หรืออาการเจ็บที่บั้นเอวผ่านการใช้กำปั้นทุบเบาๆ ซึ่งหากไตมีการอักเสบ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บหรือเสียวแปลบ
- การตรวจเลือด เพื่อหาค่าการอักเสบ รวมถึงเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ในกระแสเลือด
- การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะ รวมถึงเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย เลือด หรือน้ำหนองที่ปะปนอยู่ในปัสสาวะ
- การตรวจด้วยภาพทางรังสีเพิ่มเติม เพื่อดูลักษณะของไตหรือสิ่งที่อาจอุดตันอยู่บริเวณทางเดินปัสสาวะ โดยอาจเป็นการตรวจเอกซเรย์ การทำ CT Scan หรือการทำอัลตราซาวด์ ขึ้นอยู่กับการประเมินจากแพทย์
- การตรวจ DMSA (Dimercaptosuccinic Acid Scan) ซึ่งเป็นการฉีดสารเข้าไปที่ผ่านหลอดเลือดดำ จากนั้นแพทย์จะถ่ายภาพสแกนไตเพื่อประเมินการทำงานของไต และหาสัญญาณการติดเชื้อที่ไต
การรักษาโรคกรวยไตอักเสบ
การรักษาโรคกรวยไตอักเสบแบ่งออกได้หลายวิธี ได้แก่
- การให้ยาปฏิชีวนะ ประเภทของยารวมถึงระยะเวลาในการกินยาจะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อแบคทีเรีย แต่ส่วนมากผู้ป่วยมักจะอาการดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แต่ยังคงต้องกินยาอย่างต่อเนื่องจนหมดตามที่แพทย์สั่ง
- การพักรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ให้น้ำเกลือและให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ รวมถึงในช่วงเวลาดังกล่าว อาจมีการตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะเพื่อดูติดตามอาการด้วย ระยะเวลาในการนอนให้ยาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการอักเสบเช่นกัน
- การผ่าตัด นิยมใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยเป็นโรคกรวยไตอักเสบจากการมีสิ่งอุดตันที่ทางเดินปัสสาวะ หรือมีความผิดปกติที่โครงสร้างของไต ในกรณีที่มีการติดเชื้อรุนแรงมาก แพทย์อาจจำเป็นต้องผ่าตัดนำไตออก
โรคกรวยไตอักเสบอาจจะฟังดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้วหากพบโรคนี้ตั้งแต่ระยะแรกๆ ก็มีโอกาสหายได้ไม่ยาก และภายในระยะเวลาไม่กี่วัน
ดังนั้นหากสังเกตเห็นปัสสาวะตัวเองไม่เหมือนเดิม ปวดหลัง ปวดท้อง ปวดเอว หรือมีอาการที่สงสัยว่าไตอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรเดินทางไปพบแพทย์โดยทันที เพราะยิ่งเข้ารับกระบวนการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสที่ไตจะได้รับการฟื้นฟูให้หายได้โดยเร็ว และด้วยวิธีรักษาที่ยังไม่ซับซ้อนก็มีสูง
อยากเช็กสุขภาพไต ปรึกษาปัญหาปัสสาวะไม่เหมือนเดิม ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย