เจาะลึก! เรื่อง IVF “เด็กหลอดแก้ว” มีโอกาสสำเร็จมากแค่ไหน?

“มีลูกยากแต่อยากมีลูก” อายุก็ย่างเข้าเลข 4 แล้วอย่าปล่อยให้อายุมากไปกว่านี้เพราะอาจทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดน้อยลง ปัจจุบันมีวิธีช่วยให้ผู้ที่มีลูกยากสามารถตั้งครรภ์ได้หลายวิธี

ในบทความนี้จะพามาเจาะลึกเรื่องการทำ IVF หรือที่รู้จักในชื่อ “เด็กหลอดแก้ว” ถึงความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จ

IVF คืออะไร?

IVF ย่อมาจากคำเรียกเต็มว่า “In vitro fertilization” เป็นการผสมเทียมเพื่อช่วยให้ผู้ที่มีลูกยากสามารถตั้งครรภ์ได้ ในไทยอาจคุ้นเคยกับคำว่า “เด็กหลอดแก้ว”

กระบวนการทำ IVF คือ การนำไข่ที่สุกเต็มที่ออกมาจากรังไข่ผู้หญิง และนำเชื้ออสุจิจากผู้ชายมาผสมกันบนจานแก้ว หรือหลอดทดลองในห้องปฎิบัติการ

เมื่อไข่และอสุจิเกิดการปฎิสนธิขึ้นจนเกิดเป็นตัวอ่อน (Embryo) จึงส่งกลับเข้าไปไว้ในมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวบนผนังมดลูกและเติบโตตามปกติเหมือนการตั้งครรภ์ด้วยการมีเพศสัมพันธ์

IVF เหมาะกับใคร?

IVF สามารถใช้ได้กับผู้ที่มีลูกยากจากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • ผู้ที่มีท่อนำรังไข่อุดตัน ทำให้ไข่ที่สุกแล้วไม่สามารถเคลื่อนไปฝังตัวที่ผนังมดลูกได้
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการตกไข่ เช่น มีจำนวนไข่ตกน้อยเกินไปอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีลูกยาก
  • ผู้มีอายุเกิน 40 ปี ที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ภายใน 6 เดือนแม้จะมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอโดยไม่ได้ป้องกัน
  • ผู้ที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือ การมีเนื้อเยื่อเติบโตขึ้นนอกมดลูก ส่งผลกระทบต่อรังไข่ มดลูก และท่อนำรังไข่
  • ผู้ที่มีเนื้องอกมดลูก (Uterine fibroids) คือ เนื้องอกที่เติบโตขึ้นบริเวณผนังมดลูก มักเกิดกับผู้หญิงอายุ 30-40 ปี และอาจส่งผลต่อกระบวนการฝังตัวของตัวอ่อนในมดลูก
  • ผู้ที่เคยทำหมันแล้วอยากมีลูกอีกครั้ง หากก่อนหน้านี้คุณเคยทำหมันโดยการตัดท่อนำรังไข่ หรือทำให้ท่อนำรังไข่อุดตันไปแล้ว IVF เป็นอีกทางเลือกที่สามารถนำไข่ออกมาปฎิสนธีภายนอกได้
  • ผู้ที่เชื้ออสุจิไม่แข็งแรง ทำให้ประสบปัญหาในการเข้าไปปฎิสนธิกับไข่ เช่น อสุจิเคลื่อนที่ช้า อสุจิมีจำนวนน้อย รูปทรงอสุจิผิดปกติ เป็นต้น
  • ผู้ที่มีลูกยากโดยไม่ทราบสาเหตุ กรณีนี้อาจมีตัวเลือกหลายวิธี ควรปรึกษาแพทย์ว่า IVF เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือไม่
  • ผู้ที่มีโอกาสส่งต่อโรคทางพันธุกรรม ผู้ที่เสี่ยงจะส่งต่อโรคทางพันธุกรรมสู่ลูกอาจได้รับคำแนะนำให้ตรวจสอบพันธุกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการทำ IVF หลังจากนำไข่ออกมาปฎิสนธิแล้ว แพทย์จะทำการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมได้บางส่วนหนึ่งก่อนส่งกลับไปฝังตัวในมดลูก
  • ผู้ที่กำลังจะรับการรักษาโรคมะเร็ง เช่น การฉายแสง การให้เคมีบำบัด อาจได้รับคำแนะนำให้นำไข่ออกมาแช่แข็งก่อน หลังจากรักษาจนหายดีแล้ว ค่อยนำไข่นั้นกลับมาทำ IVF และส่งเข้าไปฝังตัวในมดลูกตามปกติ

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งในสาเหตุของผู้ที่มีลูกยาก และสามารถแก้ไขได้ด้วยการทำ IVF แต่สาเหตุข้างต้นที่กล่าวมานั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องแก้ไขด้วยวิธี IVF เท่านั้น

บางปัจจัยอาจมีวิธีแก้ไขได้หลายวิธี ควรพิจารณาร่วมกับแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่า IVF คือ วิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

IVF มีอัตราการสำเร็จมากแค่ไหน?

จากข้อมูลของ American pregnancy association เผยว่า อัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปีที่ทำ IVF อยู่ที่ประมาณ 41-43%

อัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์จะลดลงเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น และอาจเหลือเพียง 13-18% ในผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไป

แต่แพทย์ที่ทำ IVF มักจะนำไข่ออกมาจากรังไข่และปฎิสนธิจำนวนหลายใบเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ ในทางกลับกันหากทำ IVF แล้วมีไข่ฝังตัวในมดลูกมากกว่า 1 ใบ ก็อาจทำให้มีลูกแฝดได้ด้วยเช่นกัน

ส่วนอัตราความสำเร็จที่ลูกจะเกิดมาแข็งแรงนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ เหตุผลที่มีลูกยาก

แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการแท้งลูกของการทำ IVF มีมากกว่าการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติประมาณ 15-25% และอาจมากขึ้นเมื่อทำ IVF ตอนอายุมาก

ข้อเสียและข้อควรระวังของการทำ IVF

หากคุณเริ่มสนใจการมีบุตรด้วยวิธี IVF สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเสียและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาร่วมกับแพทย์

  • มีโอกาสเกิดลูกแฝด อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ไข่อาจฝังตัวที่ผนังมดลูกมากกว่า 1 ใบ จึงมีโอกาสเกิดลูกแฝด และมักเกิดมาน้ำหนักน้อยกว่าปกติ
  • มีโอกาสคลอดก่อนกำหนด
  • มีโอกาสที่น้ำหนักตัวของทารกอาจน้อยกว่าปกติได้
  • มีโอกาสเกิดโรครังไข่ การทำ IVF จะต้องมีการกระตุ้นรังไข่ให้ผลิตไข่มากขึ้นเพื่อนำออกมาครั้งละหลายฟอง ในบางกรณีอาจทำให้เกิดการผลิตมากเกินไปจนรังไข่บวม เจ็บ และเป็นโรครังไข่ได้ แต่กรณีนี้พบได้ไม่บ่อย
  • มีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อน การทำ IVF จะต้องใช้เข็มเจาะดูดเอาไข่ออกมาจากรังไข่ จึงมีโอกาสที่จะเลือดออก ติดเชื้อ หรือเกิดบาดเจ็บภายในอื่นๆ
  • มีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูก คือความผิดปกติที่ไข่เกิดไปฝังตัวบริเวณท่อนำรังไข่แทนที่จะเป็นมดลูก กรณีนี้จะไม่สามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้ แต่มีโอกาสเกิดอยู่ที่ประมาณ 2-5% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้การทำ IVF จะมีข้อเสียและข้อควรระวังหลายข้อ แต่ก็เช่นเดียวกับหลายๆ วิธีที่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน จึงยังไม่ควรกังวลจนเกินไป

การทำ IVF ถือเป็นบริการที่สำคัญมากกับทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ การปรึกษาพูดคุยร่วมกันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและโอกาสในการทำสำเร็จมากยิ่งขึ้น

การเตรียมตัวก่อนทำ IVF

การทำ IVF ต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ เนื่องจากมีหลายขั้นตอน และบางคนอาจต้องทำมากกว่า 1 ครั้ง เมื่อตัดสินใจใช้วิธี IVF แล้ว แพทย์อาจให้ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • ตรวจสอบรังไข่ แพทย์อาจตรวจปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ร่วมกับอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ในช่วงวันแรกๆ ของการเป็นประจำเดือน เพื่อประเมินว่ารังไข่จะตอบสนองต่อยากระตุ้นได้ดีหรือไม่
  • ตรวจมดลูก แพทย์อาจใช้วิธี Sonohysterography ซึ่งคล้ายกับการอัลตราซาวด์เพื่อตรวจดูโพรงมดลูก หรือการส่องกล้อง Hysteroscopy เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการผสมเทียม
  • ตรวจความสมบูรณ์ของอสุจิ การตรวจความสมบูรณ์ของอสุจิจะดูทั้งรูปทรง ขนาด และปริมาณของอสุจิ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกวิธีการผสมเทียมได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
  • ตรวจหาโรคติดต่อ แพทย์จะให้ตรวจโรคติดต่อที่อาจส่งผลกระทบกับเด็กได้ เช่น เชื้อ HIV
  • จำลองการส่งตัวอ่อนเข้ามดลูก โดยแพทย์อาจพิจารณาความลึกของโพรงมดลูก เพื่อวางแผนก่อนการทำ IVF จริง

นอกจากนี้ยังอาจมีการตรวจเชิงลึกมากขึ้นหากแพทย์พบความผิดปกติจากการตรวจเบื้องต้น หรือตามที่แพทย์เห็นสมควร

ขั้นตอนการทำ IVF

ขั้นตอนการทำ IVF มีความซับซ้อนพอสมควร ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ อาจแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

1. กระตุ้นรังไข่

เมื่อตรวจความเช็กความพร้อมแล้ว แพทย์อาจใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ (Synthetic hormones) เพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ออกมามากกว่า 1 ฟอง

เนื่องจากไม่ใช่ไข่ทุกใบจะสามารถปฎิสนธิได้ แพทย์จึงนำไข่ออกมาใช้หลายๆ ฟองในการทำ IVF เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จให้มากที่สุด

ฮอร์โมน หรือยาที่แพทย์ให้อาจมีดังนี้

  • ฟอลลิเคิล สติมิวเลติง ฮอร์โมน (Follicle-stimulating hormone: FSH) เป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่
  • ลูทิไนซิง ฮอร์โมน (Luteinizing hormone: LH) เป็นฮอร์โมนกระตุ้นให้เกิดการตกไข่
  • ฮิวแมน โคริโอนิค โกนาโดโทรพิน (Human chorionic gonadotropin: HCG) เป็นฮอร์โมนที่อาจมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการตกไข่และสร้างอสุจิ โดยปกติจะพบในคนที่ตั้งครรภ์แล้ว

นอกจากนี้ยังอาจมียาที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไข่ตกก่อนเวลาที่ต้องการ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้อธิบายตามความเหมาะสม

เมื่อแพทย์ทำการกระตุ้นรังไข่แล้ว จะทำการตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน หากระดับฮอร์โมนถึงเกณฑ์ แสดงว่ารังไข่ตอบสนองต่อฮอร์โมนได้ดี และสามารถทำ IVF ได้

2. การนำไข่ออกมาจากรังไข่

เมื่อการกระตุ้นไข่เป็นไปด้วยดี แพทย์จะเริ่มการนำไข่ออกมาจากรังไข่ อาจมีขั้นตอนดังนี้

  1. แพทย์จะให้ยาระงับความรู้สึกก่อนเริ่มการดึงไข่
  2. แพทย์จะใช้เครื่องมืออัลตร้าซาวด์ขนาดเล็กสอดเข้าทางช่องคลอด เพื่อให้เห็นภาพรังไข่และสามารถนำไข่ออกมาได้
  3. จากนั้นแพทย์จะสอดเข็มผ่านเครื่องอัลตราซาวด์เข้าไปเพื่อเข้าไปดึงไข่ออกมา แต่หากไม่สามารถสอดอัลตราซาวด์ผ่านทางช่องคลอดได้ แพทย์อาจใช้การดึงไข่ผ่านหน้าท้องแทน ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาประมาณ 20 นาที
  4. ไข่ที่สุกแล้วจะถูกนำไปแช่ไว้ในของเหลวสำหรับเพาะเลี้ยง (Nutritive liquid) เพื่อรอผสมกับอุสจิจนเกิดเป็นตัวอ่อน

ในระหว่างและหลังจากดึงไข่ออกมาแล้ว ผู้รับบริการอาจรู้สึกหน่วงๆ เหมือนถูกกดทับบ้าง หากรู้สึกเจ็บมากจนผิดปกติควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ

3. การนำอสุจิออกมาเตรียมปฎิสนธิ

การนำอสุจิออกมานั้นมี 2 วิธีหลักๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของผู้ใช้บริการ ดังนี้

  • หากต้องการใช้อสุจิของคู่รัก และคู่รักยังสามารถหลั่งอสุจิได้ตามปกติ แพทย์อาจให้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในเช้าวันที่ทำการดึงไข่ เพื่อให้มีอุสจิเตรียมพร้อมรอปฎิสนธิเลย
  • หากไม่สามารถหลั่งอสุจิได้ หรือด้วยเหตุผลด้านสุขภาพบางประการ อาจต้องใช้วิธีที่เรียกว่า “ทีซ่า (Testicular Sperm Aspiration: TESA)” หรือการใช้เข็มเจาะเข้าอัณฑะเพื่อดูดอสุจิออกมาโดยตรง

เมื่อนำอสุจิออกมาแล้ว แพทย์จะนำเข้าห้องปฎิบัติการเพื่อทำการแยกตัวเชื้ออสุจิกับน้ำอสุจิต่อไป

4. การปฎิสนธิและส่งกลับเข้ามดลูก

หากการดึงไข่เรียบร้อยดี และอสุจิที่ดึงออกมาแข็งแรงดี แพทย์อาจนำมาผสมภายในวันเดียวกันเลย แต่หากพบว่า เชื้ออสุจิมีจำนวนน้อยเกินไป แพทย์อาจใช้กล้องกำลังขยายสูงคัดเลือกอสุจิมาเพียงตัวเดียวเพื่อฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง (ICSI)

จากนั้นแพทย์จะนำไปเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 5-6 วัน เพื่อให้เกิดเป็นตัวอ่อน และรอจนตัวอ่อนแข็งแรงพอจะฝังตัวในมดลูกได้

แพทย์จะสอดตัวอ่อนเข้าทางช่องคลอด และปล่อยตัวอ่อนเข้าสู่มดลูกเพื่อให้เกิดการฝังตัวตามธรรมชาติต่อไป โดยจะทราบผลว่าสำเร็จหรือไม่ภายใน 6-10 วัน จากการตรวจเลือด

หากเกิดการตั้งครรภ์สำเร็จ ก็จะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ควรงดกิจกรรมหนักๆ บางประเภทที่อาจกระทบต่อรังไข่

Scroll to Top