Baclofen (แบคโคลเฟน) เป็นยาที่ใช้รักษาอาการกล้ามเนื้อเกร็งกระตุกจากโรคปลอกประสาทเสื่อม (Multiple Sclerosis) และโรคฮันนิงตัน (Huntington’s Disease) และรวมถึงการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลังและโรคเกี่ยวกับไขสันหลังอีกด้วย
สารบัญ
สรรพคุณของยา Baclofen
- บรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ (Muscle Spasticity): ใช้เพื่อบรรเทาอาการเกร็งและความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากโรคหรือสภาวะที่มีผลกระทบต่อระบบประสาทกลาง เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis), การบาดเจ็บที่ไขสันหลัง, โรคไขสันหลังอักเสบ (Spinal Cord Diseases)
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ไม่แนะนำให้รับประทานยานี้เพื่อรักษาอาการกล้ามเนื้อเกร็งที่เกิดจากโรคข้ออักเสบชนิดรูมาตอยด์ โรคสมองพิการ โรคพาร์กินสัน หรือโรคเส้นเลือดสมอง เนื่องจากงานวิจัยในปัจจุบันยังไม่สนับสนุนให้ใช้ในโรคดังกล่าว
กลไกการออกฤทธิ์ของยา Baclofen
Baclofen มีกลไกการออกฤทธิ์คือ ยับยั้งการตอบสนองในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทของสมอง หรือไขสันหลังที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายอาการเกร็งตัวลง
Baclofen Pump
การใช้ Baclofen ในแบบปั๊มนั้น แพทย์จะต้องสอดท่อขนาดเล็กเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องใกล้กับเอว ปั๊มยาจะค่อยๆ ปล่อยยาตามปริมาณที่แพทย์สั่งผ่านทางท่อที่ต่อไว้เข้าสู่น้ำไขสันหลัง วิธีนี้เป็นทางเลือกให้ผู้ป่วยที่ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาในรูปแบบกิน เนื่องจากในรูปแบบนี้จะใช้ยาในปริมาณที่น้อยกว่าทำให้เกิดผลข้างเคียงที่น้อยกว่า โดยแพทย์จะต้องเติมปั๊มยานี้ทุก ๆ 1-3 เดือน โดยทั่วไปแบตเตอรี่ของระบบนี้จะอยู่ได้นาน 5 ปี ซึ่งเมื่อครบกำหนดแล้ว แพทย์จะต้องเปลี่ยนและใส่เครื่องใหม่เข้าไปแทน
คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยา
เมื่อเริ่มใช้ยาแล้ว อย่าหยุดยาเองอย่างกะทันหัน หากคุณจำเป็นต้องหยุดยา แพทย์จะค่อยๆ ลดระดับยาลงมาอย่างช้าๆ การหยุดยาอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาถอนยาอย่างรุนแรงซึ่งอาจทำให้เกิดการเห็นภาพหลอนและชักได้
ยานี้จะถูกขับออกทางไต ดังนั้นหากคุณเป็นโรคไต หรือมีการทำงานของไตที่ลดลงควรระมัดระวังการใช้ยานี้ เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของยาภายในร่างกายได้ ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในการรักษาอาการกล้ามเนื้อเกร็งกระตุกที่เกิดจากโรคเส้นเลือดสมอง เนื่องจากยาจะมีผลข้างเคียงมากขึ้นในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคเส้นเลือดสมอง
Baclofen สามารถทำให้ง่วงนอนและส่งผลต่อการทรงตัวของร่างกายได้ ดังนั้นอย่าขับรถ หรือใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่จนกว่าคุณจะทราบผลของยาที่กระทำต่อร่างกายคุณ
นอกจากนั้นควรแจ้งแพทย์หากคุณมีภาวะต่อไปนี้ก่อนที่จะเริ่มรับประทานยา Baclofen
- โรคไต
- โรคพาร์กินสัน
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2
- โรคลมชัก
- มีแผล
- โรคสมองพิการ
- ผู้มีความผิดปกติทางจิตหรืออารมณ์ เช่น โรคจิตเภท
- โรคข้ออักเสบชนิดรูห์มาตอยด์
- ผู้อยุู่่ระหว่างใช้ยา วิตามิน หรือสมุนไพรชนิดอื่นๆ
นอกจากนั้นองค์การอาหารและยายังไม่อนุมัติให้ใช้ Baclofen นี้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปีด้วย
การใช้ยา Baclofen ในหญิงตั้งครรภ์
มีการศึกษาที่พบความเชื่อมโยงของการใช้ยานี้กับการเกิดความพิการแต่กำเนิดในเด็ก ดังนั้นยานี้จึงไม่ปลอดภัยที่จะใช้ขณะที่ตั้งครรภ์ ดังนั้นก่อนเริ่มใช้ยาควรแจ้งแพทย์หากคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ ยายังสามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมได้ ดังนั้นหากคุณกำลังให้นมบุตร หรือวางแผนที่จะให้นมบุตร ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
หากคุณเป็นผู้หญิงควรสอบถามแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่เป็นไปได้ในการเกิดถุงน้ำในรังไข่ขณะที่รับประทานยานี้ และควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีประวัติเคยมีถุงน้ำในรังไข่มาก่อน
ผลข้างเคียงของการใช้ยา
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการใช้ยานี้ คือ อาการง่วงซึม ผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่พบได้ประกอบด้วย
- มึนศีรษะ
- อ่อนเพลีย
- อ่อนแรง
ผลข้างเคียงที่พบได้แต่น้อยกว่า ประกอบด้วย
- สับสน
- นอนไม่หลับ
- ปวดหัว
- คลื่นไส้
- ท้องผูก
- ปัสสาวะบ่อย
- ตื่นเต้น
- การมองเห็นผิดปกติ
- สูญเสียการประสานงานของกล้ามเนื้อ
- ปากแห้ง
- เบื่ออาหาร
- อารมณ์ทางเพศลดลง
นอกจากนั้น หากผู้ป่วยมีอาการ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือชัก ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
ปฏิกิริยาระหว่างยา Baclofen กับยาอื่น ๆ
ยาบางชนิดอาจส่งผลต่อการทำงานของ Baclofen และ Baclofen เองก็อาจส่งผลต่อยาที่กำลังรับประทานอยู่ได้ ดังนั้นควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณกำลังรับประทานอยู่ทั้งยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อมารับประทานเองตามร้านขายยา ยาเสพติด หรือยาผิดกฎหมาย สมุนไพร วิตามินหรืออาหารเสริม
ยาอื่นๆ ที่สามารถกดระบบประสาทส่วนกลางได้อาจทำให้ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา baclofen แย่ลง ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ยานอนหลับ
- ยาสลบ
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
- วิตามิน
ไม่ควรรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะที่รับประทานยานี้ เนื่องจากจะทำให้ผลข้างเคียงของอาการง่วงซึมและเวียนศีรษะรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยานี้ยังทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ดังนั้นจึงอาจทำให้เกิดอาการอ่อนแรงและสูญเสียการทรงตัวได้ โดยเฉพาะหากมีอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็งควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลของยานี้ที่อาจส่งผลต่อการทรงตัวของคุณ
ขนาดของยา Baclofen
ยานี้มีในรูปแบบเม็ด 10 และ 20 มิลลิกรัม โดยต้องรับประทานยาในขนาดเท่ากันวันละ 3 ครั้ง แพทย์อาจเริ่มให้คุณรับประทานยาจากขนาดน้อยที่สุดที่ยังมีประสิทธิภาพในการัรกษา ก่อนที่จะเพิ่มขนาดขึ้นตามความต้องการ ตัวอย่างการรับประทานยาโดยทั่วไป คือ
- 5 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้งในช่วง 3 วันแรก
- 10 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้งในช่วง 3 วันถัดมา
- 15 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้งในอีก 3 วันถัดไป
- 20 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้งในอีก 3 วันถัดไป
อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่ยาจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงที่สุด ระดับของยาที่รับประทานในแต่ละวันมักอยู่ที่ 40-80 มิลลิกรัม ซึ่งไม่ควรรับประทานยามากกว่า 80 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งนี้ควรรับประทาน Baclofen พร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที
การใช้ Baclofen เป็นยาเสพติด
มีรายงานทางออนไลน์และแหล่งอื่นๆ ว่า มีหลายคนนำยานี้มาใช้ในแง่ของยาเสพติดเพราะฤทธิ์ของยาทำให้ผู้ใช้มีความสุขเนื่องจากยาสามารถทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้นั่นเอง อย่างไรก็ดี การนำยานี้ไปใช้เป็นยาเสพติดมีความเสี่ยงในการได้รับยาเกินขนาดสูง เนื่องจากต้องรับประทานยาในปริมาณมากเพื่อให้ได้ฤทธิ์เสพติด
นอกจากนี้การรับประทานยา baclofen เกินขนาดอาจนำไปสู่
- ไม่รู้สึกตัว
- อุณหภูมิร่างกายต่ำ
- หัวใจเต้นช้าจนเป็นอันตราย
- ความดันโลหิตสูง
- การตอบสนองของระบบประสาทรีเฟลกซ์ช้ากว่าปกติ
ควรรับประทานยาเฉพาะตามที่แพทย์สั่งเท่านั้นและควรเก็บยานี้และยาอื่นๆ ให้พ้นจากมือเด็กเล็ก วัยรุ่น และบุคคลอื่นที่ไม่ต้องรับประทานยานี้
การได้รับยา Baclofen เกินขนาด
รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด อย่ารับประทานมากกว่า หรือน้อยกว่านั้น และอย่าหยุดรับประทานเอง
การได้รับยานี้เกินขนาดอาจทำให้
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างรุนแรง
- ง่วงซึม
- หายใจลำบาก
- ไม่รู้สึกตัว
- ชัก
หากคุณคิดว่า ตนเอง หรือคนรอบข้างอาจได้รับยานี้เกินขนาด ให้โทรติดต่อศูนย์พิษวิทยาที่เบอร์ 1-800-222-1222 และหากมีอาการรุนแรงให้โทร 911
หากลืมรับประทานยานี้ สามารถรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากว่ากำลังจะถึงมื้อถัดไปที่จะต้องรับประทานยา ให้ข้ามยามื้อที่ลืมไป และรับประทานยามื้อถัดไปตามปกติ อย่ารับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมรับประทาน