“แสงรักษาสิว” เป็นการใช้แสงที่มีความยาวคลื่นในช่วงที่ตาของคนเราสามารถมองเห็นได้ โดยปกติแล้วแสงที่เกิดขึ้นทั่วๆ ไปที่เราเห็นในชีวิตประจำวันจะมีความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน และวัตถุต่างๆ สิ่งของต่างๆ รวมถึงร่างกายเรา เช่น เม็ดเลือดแดง หรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ที่ผิวหนังของเรา ก็จะดูดซับแสงเหล่านี้ในความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ในทางการแพทย์ เราอาศัยหลักการเหล่านี้มาใช้ ทั้งรักษาโรคผิวหนัง และใช้ในการดูแลผิวที่เกี่ยวข้องกับความงามต่าง ๆ
แสงรักษาสิว คืออะไร?
“สิว” เป็นปัญหาผิวหนังอย่างหนึ่งที่ใช้แสงรักษาได้
แสงรักษาสิว คือ แสงสีฟ้าและสีแดง ซึ่งแสงสีฟ้าเป็นแสงชนิดที่นิยมมากที่สุดในการนำมาใช้รักษาสิว
เนื่องจากความยาวคลื่นของแสงสีฟ้าสามารถไปทำลายเชื้อแบคทีเรียโดยตรง แต่แสงสีฟ้าทะลุลงไปที่ผิวได้น้อยกว่าแสงสีแดง ในปัจจุบันจึงมีการใช้แสงสีฟ้าร่วมกับแสงสีแดงในการรักษาสิว และมักจะใช้ควบคู่กับการรักษาอื่นๆ ด้วย เช่น ทายา รับประทานยา หรือใช้เลเซอร์
เราสามารถจำแนกแสงตามความยาวคลื่นของแสงได้ดังนี้
- แสงสีม่วง 380-450 นาโนเมตร
- แสงสีน้ำเงิน 450-485 นาโนเมตร
- แสงสีฟ้า 485-500 นาโนเมตร
- แสงสีเขียว 500-565 นาโนเมต
- แสงสีเหลือง565-590 นาโนเมตร
- แสงสีแสด 590-625 นาโนเมตร
- แสงสีแดง 625-700 นาโนเมตร
แสงสีฟ้ากับแสงสีแดง รักษาสิวต่างกันอย่างไร?
แสงสีฟ้าและแสงสีแดง มีการทำงานที่ส่งผลต่อการรักษาต่างกัน ดังนี้
- แสงสีฟ้า จะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium Acne (P. Acne) ซึ่งเชื้อตัวนี้ทำให้เกิดสิวอักเสบ เป็นถุงหนอง (Cutibacerium Acne) บริเวณรูขุมขน ต่อมไขมัน นอกจากนี้แสงสีฟ้ายังช่วยควบคุมความมันของผิวอีกด้วย
- แสงสีแดง ช่วยลดการอักเสบของต่อมไขมัน ทำให้ต่อมไขมันเล็กและหดตัวลง ส่งผลให้สิวอักเสบลดลง หน้ามันลดลง อีกทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้
กล่าวโดยสรุป แสงสีฟ้าและแสงสีแดงมีบทบาทในการช่วยรักษาสิวได้เป็นอย่างมาก โดยที่มีงานวิจัยหลายๆ ชิ้น ที่บ่งบอกว่าแสงเหล่านี้ช่วยรักษาสิวได้จริง แต่ทั้งนี้ควรรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ยาทาสิว เป็นต้น
เขียนโดย: พญ. มณสิญา พงษ์ชมพร (หมอเกด) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง แพทย์ผู้ก่อตั้ง DermaGlow Clinic