รู้หรือไม่ว่า ถึงแม้จะไม่ได้ออกไปเผชิญกับฝุ่นควัน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ นอกบ้าน แต่ทุกคนก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้จากสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านของตนเองได้
เพราะภายในบ้านสามารถเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรค ฝุ่นละออง ละอองเกสร หรือเชื้อแบคทีเรียได้เช่นกัน ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้องดูแลทำความสะอาดบ้านให้สะอาด เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ของทุกคนในบ้าน
สารบัญ
- บริเวณที่มักมีสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน
- วิธีดูแลบ้านเพื่อป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในร่างกาย
- 1. ดูดฝุ่น 2 ครั้งต่อสัปดาห์
- 2. ควบคุมแหล่งไรฝุ่น
- 3. ทำความสะอาดร่างกายของสัตว์เลี้ยง
- 4. ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย
- 5. ตัดต้นไม้และวัชพืชที่อาจทำให้แพ้
- 6. ระวังไม่ให้เกิดความชื้นมากเกินไป
- 7. กำจัดแมลงภายในบ้านของคุณ
- 8. ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้สะอาด
- 9. เลือกเครื่องเรือนที่ป้องกันไรฝุ่น
- 10. ทำความสะอาดรถ
บริเวณที่มักมีสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน
คุณอาจคิดว่า แค่ปัดกวาดเช็ดถูพื้น หรือเช็ดตามชั้นวางของก็น่าจะเพียงพอในการป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในบ้านแล้ว แต่ความจริงยังมีพื้นที่อีกหลายจุดที่เป็นแหล่งรวมสารก่อภูมิแพ้ได้ เช่น
- สัตว์เลี้ยง ตามผิวหนัง หรือขนสัตว์ มักจะเป็นแหล่งรวมของคราบแบคทีเรีย คราบปัสสาวะ และมูลสัตว์ รวมถึงตัวเห็บหมัดซึ่งทำให้เป็นสาเหตุของสารก่อภูมิแพ้
- ผ้าม่าน ผ้าม่านคือ ตัวรับสารก่อภูมิแพ้อันดับแรกเมื่อคุณเปิดหน้าต่างออก นอกจากนี้ผ้าม่านที่ไม่ได้ถอดมาซักทำความสะอาดและต้องเลื่อนพับเก็บไว้ที่มุมห้อง หรือมุมหน้าต่างทุกๆ วัน เมื่อนานวันไปก็จะกลายเป็นแหล่งรวมชั้นดีของฝุ่นละออง
- เฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยเบาะผ้า พรมตกแต่งบ้าน พรมเช็ดเท้า โซฟาผ้า เบาะผ้านุ่มๆ หรือพรมที่พื้น คือ แหล่งรวมของเชื้อโรคทั้งที่จากตัวผู้มาสัมผัส นั่ง หรือเหยียบ ทั้งจากสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน และจากฝุ่นละอองในบ้านที่จับตัวเป็นก้อนและเกาะอยู่โดยที่คุณมองไม่เห็น
- ห้องนอน เฟอร์นิเจอร์และสิ่งของที่อยู่ภายในห้องนอนมักทำด้วยผ้า เช่น ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ปลอกหมอน รวมถึงหน้าต่างที่มีการเปิด-ปิด ค่อนข้างบ่อย ห้องนอนจึงกลายเป็นสถานที่ที่มักจะมีฝุ่น และตัวไรฝุ่นรวมตัวกันอยู่เยอะที่สุด
- พื้นที่ที่เปียกชื้น บริเวณภายในบ้านที่ต้องสัมผัสกับน้ำอยู่บ่อยๆ เช่น ห้องน้ำ ลานซักผ้า ใต้อ่างล้านจาน มักจะเป็นแหล่งรวมความเปียกชื้นจากอากาศ หรือจากกิจกรรมภายในบ้าน เช่น ล้างจาน รดน้ำต้นไม้ ซักผ้า จนทำให้เชื้อโรค และแบคทีเรียที่เกิดจากความเปียกชื้นมาจับตัวจนกลายเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้
- ต้นไม้ที่ปลูกไว้ในบ้าน การวางต้นไม้บางชนิดไว้สำหรับตกแต่งภายในบ้าน คุณอาจไม่ทราบว่านั่นอาจเป็นการเพิ่มพื้นที่ให้กับฝุ่นในบ้าน และยังอาจรวมไปถึงแมลงบางชนิดที่สามารถกัดต่อยจนทำให้เกิดอาการแพ้ตามมาได้
จากแหล่งสารก่อภูมิแพ้ที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่า ยังมีอีกหลายบริเวณภายในบ้านที่คุณไม่คาดคิดว่าจะเป็นที่รวมของสิ่งสกปรก ดังนั้นคุณจึงควรสังเกตและปรับเปลี่ยนวิธีดูแลบ้านของตนเองเสียใหม่ เพื่อลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ให้น้อยลง
วิธีดูแลบ้านเพื่อป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในร่างกาย
1. ดูดฝุ่น 2 ครั้งต่อสัปดาห์
ดูดฝุ่นอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านได้ ทางที่ดี คุณควรเลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ไม้กวาดเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
นอกจากนี้ในระหว่างที่ดูดฝุ่นควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายรับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปด้วย
2. ควบคุมแหล่งไรฝุ่น
วิธีนี้สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการตกแต่งบ้านให้มีพรมที่พื้น หรือผ้าม่านน้อยที่สุด หรือหากมีการติดตั้งพรมก็ให้เลือกวัสดุที่ฝุ่นไม่ติดง่ายและง่ายต่อการถอดออกมาทำความสะอาด โดยควรทำความสะอาดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
นอกจากนี้โซฟา หรือเก้าอี้ ที่ทำจากเบาะนวมหุ้มด้วยผ้า ยังเป็นอีกแหล่งรวมของสารก่อภูมิแพ้ คุณควรหลีกเลี่ยงโซฟาที่หุ้มด้วยผ้าซึ่งยากต่อการทำความสะอาด
ภายในห้องนอนของคุณก็เป็นอีกบริเวณที่มักเต็มไปด้วยไรฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ คุณควรถอดปลอกหมอนออกมาซักทุกสัปดาห์ หลังจากตื่นนอนทุกวันให้หาผ้าพลาสติก หรือผ้าคลุมมาคลุมเตียง เพื่อป้องกันไรฝุ่นด้วย
ส่วนปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนที่จะนำไปซัก ให้คุณซักในน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 130 องศาฟาเรนไฮต์ และอบแห้งด้วยความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรคอีกครั้ง
3. ทำความสะอาดร่างกายของสัตว์เลี้ยง
สัตว์เลี้ยงคือ อีกพาหะนำเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้มาสู่ตัวคุณ ทั้งยังอาจทำให้บ้านของคุณสกปรกมากขึ้นกว่าเดิม คุณจึงจำเป็นต้องทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงบ้าง แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อความปลอดภัย ความสะอาด และสุขภาพสัตว์เลี้ยงของคุณเอง
นอกจากทำความสะอาดร่างกายสัตว์เลี้ยงแล้ว คุณยังต้องแบ่งพื้นที่ของบ้านว่า ส่วนใดของบ้านที่สัตว์เลี้ยงห้ามเข้าไป เพื่อป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้เข้าไปรวมตัวอยู่บริเวณนั้น โดยเฉพาะห้องนอนและห้องน้ำ
4. ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย
ประตูและหน้าต่างคือ ทางเข้า-ออกหลักของสารก่อภูมิแพ้ซึ่งกระจายตัวอยู่ในอากาศ ดังนั้นควรติดตั้งมุ้งลวดกันฝุ่น หากต้องการเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
หรือหากไม่อยู่บ้านก็ควรปิดประตูและช่องทางลมในบ้านให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้ เชื้อโรค หรือแมลงที่กัดต่อยได้บินเข้ามาในบ้าน
อย่างไรก็ตาม ควรถอดหน้าต่างมุ้งลวดออกมาทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้และสิ่งสกปรกสะสมอยู่ที่มุ้งลวด
5. ตัดต้นไม้และวัชพืชที่อาจทำให้แพ้
ละอองเกสรดอกไม้และวัชพืชบางชนิดเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกัน คุณจึงต้องกำจัดพืชและต้นไม้บางชนิดออกไปจากบริเวณบ้าน เพื่อลดจำนวนเกสรและละอองฝุ่นที่พัดผ่านวัชพืชเหล่านั้นเข้ามาในบ้านจนทำให้เกิดอาการแพ้
6. ระวังไม่ให้เกิดความชื้นมากเกินไป
ความชื้นในอากาศจะทำให้เกิดเชื้อรา คุณต้องระมัดระวังไม่ให้บริเวณที่เปียกชื้น หรืออับทึบภายในบ้าน กลายเป็นแหล่งเพาะสารก่อภูมิแพ้ โดยให้สังเกตบริเวณของบ้านที่มักเปียกน้ำ หรือชื้น และหมั่นทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับในการกำจัดความชื้นภายในบ้านอื่นๆ อีก เช่น
- อย่าเปิดฝักบัวทิ้งไว้นานก่อนอาบน้ำ
- ใช้พัดลมระบายอากาศเพื่อดูดความชื้นอยู่เสมอ
- จำกัดและคัดเลือกพืชที่จะปลูกในบ้าน
- ปิดรูน้ำ หรือรูรั่วที่ทำให้เปียกชื้นบริเวณต่างๆ ให้เรียบร้อย
7. กำจัดแมลงภายในบ้านของคุณ
แมลงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยอาจมาจากการถูกกัดต่อย สัมผัสตัว หรือมูล ทางที่ดีควรมีการกำจัดแมลงไม่ให้เข้ามาในบริเวณบ้านได้ และระมัดระวังอย่าให้บ้านเป็นแหล่งรวมของแมลงที่เป็นพาหะนำสารก่อภูมิแพ้ เช่น
- แมลงสาบ
- แมลงวัน
- ยุง
- ตัวต่อ
- ผึ้ง
- แตน
8. ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้สะอาด
ควรตากเสื้อผ้าด้วยแดดจัดๆ เพราะนี่คือ วิธีกำจัดเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ได้อีกวิธีหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังฝุ่นละอองที่อาจพัดมาติดที่ผ้าด้วย ทางที่ดีหากนอกบ้านมีฝุ่น หรือสารก่อภูมิแพ้มาก ให้เปลี่ยนไปใช้วิธีอบผ้าแห้งแทนจะดีกว่า
หากเพิ่งกลับมาจากข้างนอกและเพิ่งจะเผชิญกับฝุ่นควัน เชื้อโรค หรือสารก่อภูมิแพ้ที่อาจทำให้คนในบ้านเกิดอาการแพ้ได้ ให้แยกเสื้อผ้าที่สวมใส่ไว้อีกตะกร้าหนึ่ง ซักแยกต่างหากเพื่อป้องกันการปะปนกันของเชื้อโรค
9. เลือกเครื่องเรือนที่ป้องกันไรฝุ่น
หากคุณเลือกเครื่องนอน หรือเครื่องเรือนที่ฝุ่นจับง่าย โอกาสเกิดอาการแพ้ก็จะสูงตามไปด้วย จึงควรเลือกเครื่องนอนที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้
- มีรูอากาศขนาดเล็ก เพราะไรฝุ่นมีขนาดประมาณ 100-400 ไมครอน (1 มิลลิเมตร = 1,000 ไมครอน) ส่วนมูลและไข่ของมันจะมีขนาดประมาณ 10-30 ไมครอน
ดังนั้นเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องว่างในเนื้อผ้าจึงควรเล็กกว่า 10 ไมครอน จึงจะป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นผ่านเข้าไปได้ รวมถึงมูลและไข่ของมันด้วย - เลือกซื้อเครื่องนอนที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี เครื่องนอนบางประเภทจะผสมสารเคมีเพื่อขับไล่ไรฝุ่นไว้ และมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จำนวนไม่น้อยที่แพ้สารเหล่านี้ จึงควรปรึกษาแพทย์และสอบถามส่วนผสมของสารเคมีก่อนซื้อ แต่โดยปกติหากคุณนำเครื่องนอนไปซัก สารเคมีที่ผสมอยู่ก็จะหายไปเอง แต่ประสิทธิภาพในการขับไล่ไรฝุ่นก็จะลดลงตามไปด้วย
- เลือกซื้อเครื่องนอนชนิดที่ระบายอากาศได้ดี เพราะเครื่องนอนที่ระบายความร้อนไม่ดีจะทำให้ผู้ใช้งานอึดอัด รู้สึกร้อน และส่งผลกระทบต่อการนอนหลับได้
- เลือกซื้อเครื่องเรือนที่ไม่เป็นแหล่งทีอยู่ของไรฝุ่น เช่น เครื่องเรือนที่ทำจากไม้ เครื่องหนัง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรหมั่นทำซักทำความสะอาด หรือนำส่วนที่เป็นผ้าออกตากแดด
- การควบคุมความชื้นในบ้าน เนื่องจากไรฝุ่นจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ไหกความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำกว่า 50% และที่อุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียส ดังนั้นหากมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 45% โอกาสที่ไรฝุ่นจะอยู่รอดได้ก็มีปริมาณค่อนข้างต่ำ
10. ทำความสะอาดรถ
ควรดูดฝุ่นทำความสะอาดรถยนต์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะรถเป็นอีกแห่งที่สารก่อภูมิแพ้สามารถพัดเข้ามารวมตัวกันอยู่ได้ เวลาที่คุณเปิด-ปิด ประตูรถ
อีกทั้งรถยังมักถูกจอดไว้ในที่อับชื้นจนข้างในมีอุณหภูมิอบอ้าว และกลายเป็นแหล่งรวมของเชื้อราในภายหลังได้
ไม่ควรใช้ผ้าคลุมตัวเบาะรองนั่งเพราะจะทำให้มีฝุ่นมาจับ สะสม และหมั่นทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศภายในรถอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น อากาศที่สูดเข้าไปขณะอยู่ในรถจะได้ปราศจากสารก่อภูมิแพ้
เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลบ้านให้เหมาะสม โอกาสที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ก็อาจลดลงตามไปด้วย และสุขอนามัยในชีวิตประจำวันของคุณก็จะมีแต่ความสะอาด ห่างไกลจากการเกิดโรคร้ายที่เกิดจากการติดเชื้อหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ
การกำจัดสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านและรถยนต์อาจเป็นเรื่องยากเย็นเสียหน่อย หากคุณไม่ใช่คนที่จะลุกขึ้นมาดูแลทำความสะอาดบ้านและรถบ่อยๆ แต่ลองสำรวจและปรับเปลี่ยนวิธีดูแลบ้านและรถสักครั้ง บางทีสุขภาพ หรืออาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่อาจจะดีขึ้นก็ได้
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. ธนู โกมลไสย