โรคหัวใจ เป็นโรคที่อาจทำอันตรายถึงชีวิตได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที และในหลายกรณีโรคหัวใจก็เกิดจากการสะสมปัจจัยต่างๆ มานานกว่า 10 ปี
สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association: AHA) จึงแนะนำว่า การตรวจโรคหัวใจบางรายการควรเริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปี จากนั้นค่อยๆ เพิ่มรายการตรวจที่เหมาะสมไปตามแต่ละช่วงอายุ
ในบทความนี้จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจโรคหัวใจว่าควรตรวจอะไรบ้าง ใครควรไปตรวจ แล้วสัญญาณแบบไหนที่อาจเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
สารบัญ
- ตรวจโรคหัวใจคืออะไร ทำไมต้องตรวจ?
- ตรวจหัวใจมีวิธีไหนบ้าง?
- 1. ตรวจโรคหัวใจจากเลือด
- 2. ตรวจโรคหัวใจจากความดันโลหิต
- 3. ตรวจคลื่นหัวใจ (Electrocardiography: ECG)
- 4. ตรวจหัวใจด้วยวิธีวิ่งสายพาน (Exercise Cardiac Stress Test: EST)
- 5. ตรวจหัวใจด้วยการถ่ายภาพหัวใจแบบ 3 มิติ (Echocardiography: ECHO)
- 6. ตรวจหัวใจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized tomography scan: CT scan)
- การตรวจโรคหัวใจเหมาะกับใคร?
- สัญญาณที่บอกว่าควรตรวจแล้ว
- การดูแลตัวเองหลังตรวจโรคหัวใจ
ตรวจโรคหัวใจคืออะไร ทำไมต้องตรวจ?
การตรวจโรคหัวใจ คือการตรวจประเมินความเสี่ยงใดๆ ก็ตามที่อาจส่งผลให้หัวใจผิดปกติในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ลิ้นหัวใจรั่ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น
โดยแพทย์จะประเมินจากหลายปัจจัย ดังนี้
- ความดันโลหิต
- ระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- ระดับน้ำตาลในเลือด
- ดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI)
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
- การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การออกำลังกาย การสูบบุหรี่
- ประวัติการเป็นโรคหัวใจของคนในครอบครัว
อย่างที่เห็นว่าเราสามารถหาความเป็นไปได้ก่อนที่จะเป็นจริงๆ ดังนั้นควรตรวจคัดกรองอย่างน้อยทุก 2 ปี โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป
ตรวจหัวใจมีวิธีไหนบ้าง?
โรคหัวใจมีปัจจัยเสี่ยงจากหลายอย่าง ตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวันไปจนถึงโรคประจำตัว ดังนั้นการตรวจหัวใจมักทำในภาพกว้างก่อน จากนั้นค่อยๆ โฟกัสแคบตรงส่วนที่พบสิ่งผิดปกติลงมาเรื่อยๆ
วิธีการตรวจจึงมีหลากหลายวิธี ดังนี้
1. ตรวจโรคหัวใจจากเลือด
การตรวจเลือดสามารถบอกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสุขภาพหัวใจได้มากมาย เช่น ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย (Heart Attack)
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างค่าต่างๆ ของการตรวจเลือด ที่อาจมีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ
- ระดับคอเลสเตอรอล (Cholesterol) หรือหลายคนอาจเรียกว่า “ระดับไขมันในเลือด” ช่วยประกอบการวินิจฉัยความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย และโรคหัวใจอื่นๆ โดยในการตรวจคอเลสเตอรอลก็จะแยกออกเป็นหลายชนิด เช่น คอเลสเตอรอล LDL หรือคอเลสเตอรอลไม่ดีที่อาจทำให้หลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ (ไม่ควรเกิน 130 mg/dL) คอเลสเตอรอล HDL บางครั้งก็ถูกเรียกว่าคอเลสเตอรอลตัวดี เพราะมีส่วนช่วยกำจัด LDL (ผู้ชายควรมีมากกว่า 40 mg/dL และผู้หญิงควรมีมากกว่า 50 mg/dL) และอีกหนึ่งตัวสำคัญก็คือ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นอีกหนึ่งค่าบ่งชี้ว่าคุณอาจกินอาหารและได้รับแคลอรี่มากเกินไปเป็นประจำ (ไม่ควรเกิน 150 mg/dL)
- ระดับซีรีแอคทีฟโปรตีน (High-sensitivity C-reactive protein: CRP) เป็นโปรตีนที่ตับสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่ออาการบาดเจ็บและการติดเชื้อ ค่านี้มีความสัมพันธ์กับภาวะหัวใจวาย โรคหัวใจและหลอดเลือด การตรวจค่า CRP จึงมีส่วนช่วยตรวจความเสี่ยงโรคหัวใจได้ตั้งแต่ก่อนที่เริ่มมีอาการ
- ไลโปโปรตีน หรือ Lipoprotein (a) เป็นหนึ่งในประเภทของ LDL และมักจะถูกกำหนดโดยพันธุกรรม โดย LP(a) ที่สูงเกินไปก็เป็นอีกสัญญาณของโรคหัวใจเช่นกัน แพทย์อาจใช้ค่านี้ร่วมวินิจฉัยหากคุณมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง
- พลาสม่าเซราไมด์ (Plasma Ceramides) เป็นการตรวจระดับเซราไมด์ในเลือด ที่สร้างจากเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย มีส่วนช่วยเรื่องการเจริญเติบโต การทำงานและกำจัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้วในร่างกาย โดยเซราไมด์จะเคลื่อนผ่านทางเลือดโดยอาศัยไลโปโปรตีน ซึ่งทั้ง 2 อย่างมีความสัมพันธ์กับหลอดเลือดเช่นกัน ระดับเซราไมค์ที่สูงเกินไป อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดหัวใจได้
- B-type Natriuretic peptides หรือ BNP เป็นโปรตีนที่หัวใจและหลอดเลือดสร้างขึ้น ช่วยให้ร่างกายกำจัดของเหลว ช่วยการทำงานของหลอดเลือด และช่วยขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ แต่หากหัวใจเกิดความเสียหาย ร่างกายจะหลั่ง BNP เข้าสู่กระแสเลือดจำนวนมาก แต่ระดับ BNP ก็ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และน้ำหนักด้วยเช่นกัน
- โทรโปนิน ที (Troponin T) เป็นโปรตีนที่พบได้ในกล้ามเนื้อหัวใจ การวัดระดับโทรโปนิน ที ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยภาวะหัวใจวายและประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจได้ แม้จะยังไม่มีอาการใดๆ
อย่างไรก็ตาม การตรวจโรคหัวใจจากเลือดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถวินิจฉัยโรคหัวใจได้อย่างแม่นยำ เพราะโรคหัวใจยังเกิดได้จากปัจจัยอื่นๆ มากมายประกอบกัน เช่น ความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน การสูบบุหรี่ เป็นต้น
2. ตรวจโรคหัวใจจากความดันโลหิต
ความดันโลหิตเป็นหนึ่งในการตรวจสำคัญ เพราะไม่ว่าจะความดันเลือดต่ำหรือสูง ก็สังเกตอาการตนเองได้ยากมาก หรืออาจไม่มีอาการอะไรเลย แต่ระดับความดันเลือดอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้มาก จึงควรเข้ารับการตรวจเป็นประจำตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป
3. ตรวจคลื่นหัวใจ (Electrocardiography: ECG)
เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ โดยแพทย์จะมีแผ่นติดบริเวณหน้าอก จากนั้นเครื่องจะทำการวัดกิจกรรมไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในหัวใจ เพื่อประเมินเป็นคลื่นหัวใจว่ามีความผิดปกติใดๆ หรือไม่
4. ตรวจหัวใจด้วยวิธีวิ่งสายพาน (Exercise Cardiac Stress Test: EST)
การทดสอบนี้จะตรวจคลื่นหัวใจเช่นเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันที่แพทย์จะให้คุณเดินหรือวิ่งเหยาะๆ บนลู่วิ่ง เพื่อดูการทำงานของหัวใจขณะเคลื่อนไหวว่ามีความผิดปกติหรือไม่
5. ตรวจหัวใจด้วยการถ่ายภาพหัวใจแบบ 3 มิติ (Echocardiography: ECHO)
แพทย์จะใช้คลื่นเสียงสะท้อนอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) เพื่อดูภาพการเต้นของหัวใจว่ามีความผิดปกติของลิ้นหัวใจหรือไม่ มีรอยรั่วไหม
โดยขั้นตอนนี้แพทย์อาจทำทั้งก่อนและหลังการวิ่งสายพาน เพื่อให้เห็นผลชัดเจนที่สุด หรืออาจทำร่วมกับการฉีดสีด้วยก็ได้
6. ตรวจหัวใจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized tomography scan: CT scan)
เป็นการฉายภาพเช่นเดียวกับ ECHO แต่จะมีความแม่นยำสูงกว่า โดยส่วนมากหากใช้ ECHO แล้วพบความผิดปกติที่เป็นไปได้ แพทย์จะใช้การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อยืนยันผล
สามารถเห็นการไหลเวียนของเลือด ตำแหน่งรั่ว ได้ชัดกว่า แต่รังสีของเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อาจมีผลกระทบกับร่างกาย ดังนั้นแพทย์จะใช้เพื่อยืนยันผลตอนท้ายเท่านั้น จะไม่นิยมใช้ในการคัดกรองเบื้องต้น
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการตรวจหัวใจมักเป็นหนึ่งในรายการตรวจของโปรแกรมตรวจสุขภาพพื้นฐาน ดังนั้นหากใครที่พบว่าผลตรวจคัดกรองมีความเสี่ยง ควรรับการตรวจเชิงลึกขึ้นเพื่อยืนยันผล
สามารถดูแพ็กเกจตรวจหัวใจเชิงลึกขึ้นจากหลายโรงพยาบาลได้ผ่าน HDmall ศูนย์รวมแพ็กเกจสุขภาพ ทำฟัน และความงามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
การตรวจโรคหัวใจเหมาะกับใคร?
การตรวจโรคหัวใจ ควรเริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยเลือกรายการตรวจสุขภาพที่มีการเช็กความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอล และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้หากคุณมีเงื่อนไขตรงกับข้อใดต่อไปนี้ อาจต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจโรคหัวใจอย่างเฉพาะเจาะจงขึ้น หรือบ่อยขึ้นกว่าเดิม
- มีระดับความดันโลหิตสูง
- มีระดับคอเลสเตอรอลสูง
- มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
- มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจอยู่แล้ว
- มีน้ำหนักมาก หรือเป็นโรคอ้วน
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจ
- ผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น สูบบุหรี่
- มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia)
สัญญาณที่บอกว่าควรตรวจแล้ว
หากมีอาการหรือเข้าเงื่อนไขใดๆ ต่อไปนี้แม้เพียงบางครั้งบางคราว ก็ควรหาโอกาสตรวจหัวใจเพื่อประเมินความเสี่ยงไว้บ้าง
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเร็วไปหรือช้าไป
- หายใจหอบถี่ หรือหายใจลำบาก เหนื่อยง่าย
- เวียนศีรษะ
- ท้องบวม หรือเท้าบวม
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจมาก่อน ควรไปตรวจอย่างสม่ำเสมอ
การดูแลตัวเองหลังตรวจโรคหัวใจ
สำหรับผู้ที่ตรวจโรคหัวใจมาแล้ว แพทย์จะพิจารณาผลตรวจก่อนให้คำแนะนำถ้าจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติม หรืออาจกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมให้
แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่พบความผิดปกติใดร้ายแรง แพทย์อาจแนะนำให้ดูแลตัวเองและลดความเสี่ยงโรคหัวใจด้วยการปรับการใช้ชีวิต ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- เลือกกินอาหารที่หลากหลาย เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืช
- จำกัดปริมาณไขมัน และน้ำตาลในอาหาร
- เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น ระวังอย่าให้น้ำหนักตัวมากเกินไป
โดยสรุปแล้ว การตรวจโรคหัวใจเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจที่อาจมีความรุนแรงถึงชีวิตได้ หากตรวจพบสัญญาณตั้งแต่แรกๆ อาจใช้วิธีการปรับวิถีชีวิตประจำวันเพื่อบรรเทาอาการได้ ขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณา