“โหนกแก้ม” เป็นอีกส่วนประกอบสำคัญเกี่ยวกับมิติของโครงหน้า บางคนอาจเสียความมั่นใจจากการมีโหนกแก้มใหญ่เกินไป หรือตำแหน่งสูงเกินไปบนใบหน้า จนส่งผลต่อการยิ้ม หลายคนถึงขนาดต้องเผชิญกับเสียงแซว
การทำหัตถการเพื่อลดขนาดโหนกแก้มจึงเป็นอีกรูปแบบการทำศัลยกรรมรักษาความงามที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพื่อสร้างมิติของใบหน้าแบบใหม่ให้อยู่ในระดับที่พอดีมากขึ้น ผ่านการลดและปรับเปลี่ยนโหนกแก้ม
สารบัญ
- ลดโหนกแก้มคืออะไร?
- การลดโหนกแก้มมีกี่วิธี?
- 1. การผ่าตัดเพื่อกรอกระดูกโหนกแก้ม
- 2. การผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกโหนกแก้ม
- 3. การฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม
- 4. ฉีดไขมันหรือฉีดฟิลเลอร์ปรับพื้นผิวใบหน้าให้เข้ากับโหนกแก้ม
- 5. การฉีดเมโสแฟตสลายไขมันลดโหนกแก้ม
- 6. การร้อยไหม กระชับบริเวณโหนกแก้ม
- 7. การทำไฮฟู่หรือเทอร์มาจปรับบริเวณโหนกแก้ม
- ลดโหนกแก้ม ต้องทำวิธีเดียวเท่านั้นหรือไม่?
- การเตรียมตัวก่อนรับบริการลดโหนกแก้ม
- ขั้นตอนการรับบริการลดโหนกแก้ม
- การดูแลตัวเองหลังลดโหนกแก้ม
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการลดโหนกแก้ม
- ปัญหาแก้มห้อย อีกผลกระทบหลังลดโหนกแก้มที่เกิดขึ้นได้
ลดโหนกแก้มคืออะไร?
การลดโหนกแก้ม (Zygoma Reduction) คือ วิธีรักษาความงามเพื่อลดขนาดของโหนกแก้มที่ไม่สมส่วนกับใบหน้าหรือทำให้รู้สึกเสียมั่นใจผ่านวิธีการทำหัตถการต่างๆ เพื่อปรับขนาดของมิติบริเวณโหนกแก้มให้สมดุลกับส่วนอื่นๆ ของใบหน้า
การลดโหนกแก้มมีกี่วิธี?
วิธีลดโหนกแก้มที่เป็นที่แพร่หลายในปัจจุบันมีหลายวิธี ดังนี้
- การผ่าตัดเพื่อกรอกระดูกโหนกแก้ม
- การผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกโหนกแก้ม
- การฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม
- ฉีดไขมันหรือฉีดฟิลเลอร์ปรับพื้นผิวใบหน้าให้เข้ากับโหนกแก้ม
- การเมโสแฟตฉีดสลายไขมันลดโหนกแก้ม
- การร้อยไหม กระชับบริเวณโหนกแก้ม
- การทำไฮฟู่หรือเทอร์มาจปรับบริเวณโหนกแก้ม
แต่ละวิธีดังกล่าวมีข้อดีข้อเสีย และความเหมาะสมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะค่อยๆ ไล่เรียงไปตามลำดับ
1. การผ่าตัดเพื่อกรอกระดูกโหนกแก้ม
การกรอกระดูกโหนกแก้ม เรียกได้อีกชื่อว่า “การผ่าตัดเพื่อเหลากระดูกโหนกแก้ม” เป็นการลดโหนกแก้มด้วยวิธีการผ่าตัด โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือเปิดแผลในช่องปากบริเวณกระพุ้งแก้ม แล้วสอดเครื่องมือเข้าไปกรอลดขนาดกระดูกโหนกแก้มให้พอดีกับโครงสร้างใบหน้า
ข้อดีและข้อเสียของการกรอกระดูกโหนกแก้ม
แผลหลังการผ่าตัดเพื่อกรอกระดูกโหนกแก้มมีขนาดเล็กมาก มักไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่ก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าที่เห็นได้ชัดในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับ “การผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกโหนกแก้ม” ผลลัพธ์ของการผ่าตัดแบบนี้ยังมีความชัดเจนไม่มากนัก และหากผู้เข้ารับบริการเป็นผู้ที่มีความหนาของกระดูกโหนกแก้มบางอยู่แล้ว การกรอกระดูกจะยิ่งทำให้กระดูกโหนกแก้มบางลงอีก
ผ่าตัดเพื่อกรอกระดูกโหนกแก้ม เหมาะกับใคร?
การผ่าตัดเพื่อกรอกระดูกโหนกแก้มเหมาะสำหรับผู้ที่มีขนาดโหนแก้มสูงหรือนูน แต่ไม่ได้ต้องการขนาดโหนกแก้มมาก แค่ต้องการปรับโหนกแก้มให้สัดส่วนเหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าก็พอ
2. การผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกโหนกแก้ม
อีกวิธีการศัลยกรรมเพื่อลดโหนกแก้ม แต่จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่าวิธีแรก เพราะเป็นการตัดกระดูกโหนกแก้มด้านข้างบางส่วนออก ไม่ใช่เพียงกรอผิวกระดูกเท่านั้น
จากนั้นแพทย์จะเลื่อนกระดูกส่วนที่เหลือเข้ามาด้านหน้า เพื่อปรับโครงหน้าหลังตัดกระดูกให้มีสัดส่วนเหมาะสม แล้วเชื่อมต่อกันด้วยสกรูวัสดุไททาเนียมหรือแบบละลาย หรืออาจเป็นเทคนิคการเชื่อมพิเศษที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เชื่อมเลย ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาล
ตำแหน่งในการผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกโหนกแก้มจะแบ่งเป็น 2 จุด คือ บริเวณในช่องปาก และที่ไรผมข้างหู ต่างจากการผ่าตัดเพื่อกรอกระดูกโหนกแก้มที่จะผ่าตัดจุดเดียว
ข้อดีและข้อเสียของการตัดกระดูกโหนกแก้ม
จุดเด่นของการผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกโหนกแก้ม คือ ผลลัพธ์ของการรักษาที่เห็นได้ชัดเจนเพราะมีกระดูกบางส่วนถูกตัดออกไป จึงทำให้โครงหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทันทีอย่างสังเกตเห็นได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม วิธีลดโหนกแก้มแบบนี้ก็มีจุดด้อยตรงที่เป็นการผ่าตัดใหญ่ เสี่ยงที่จะกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาแก้มห้อย ต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ในการผ่าตัดสูง
นอกจากนี้เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่มีการตัดกระดูกบางส่วนออกไป จนกว่ากระดูกที่เพิ่งเชื่อมกันใหม่จะแนบสนิทและแผลสมานเรียบร้อย ผู้เข้ารับบริการอาจดำเนินชีวิตประจำวันบางอย่างรวมถึงรับประทานอาหารบางชนิดไม่ได้ในช่วงหนึ่งเช่น อาหารที่มีเนื้อเหนียว เนื้อแข็ง
การตัดกระดูกโหนกแก้ม เหมาะกับใคร?
การผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกโหนกแก้มเหมาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกโหนกแก้มใหญ่ นูน บานออกข้างเยอะ หรืออยู่ในตำแหน่งสูงมาก รวมไปถึงผู้ที่ต้องการให้ผลลัพธ์หลังผ่าตัดเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
3. การฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม
การฉีดโบท็อกซ์ หรือสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) เป็นการลดโหนกแก้มผ่านการใช้ลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณโหนกแก้มให้เล็กลง วิธีนี้ช่วยลดโหนกแก้มโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่เป็นเพียงการใช้เข็มฉีดยาฉีดสารลงไปใต้ผิวเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม
การฉีดโบท็อกซ์เป็นการทำหัตถการที่ง่ายและเป็นที่แพร่หลายในแทบทุกสถานพยาบาล มีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน ใช้เวลารักษาแทบไม่เกินชั่วโมง และราคายังมีอยู่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับแบรนด์สารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) ที่แต่ละสถานพยาบาลเลือกใช้
การฉีดโบท็อกซ์ยังช่วยให้ริ้วรอยแห่งวัย หรือรอยย่น รอยพับบนใบหน้าเลือนหายไปด้วย ซึ่งในส่วนนี้เรียกได้ว่าเป็นประสิทธิภาพที่เด่นที่สุดของการฉีดโบท็อกซ์
อย่างไรก็ตาม จุดด้อยของการฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้มก็มีอยู่หลายส่วน เพราะให้ผลลัพธ์หลังฉีดประมาณ 3-6 เดือนเท่านั้น หากต้องการลดโหนกแก้มอีกก็ต้องเดินทางกลับเข้ามาฉีดใหม่
และการฉีดโบท็อกซ์เป็นวิธีลดขนาดโหนกแก้มเพียงในระดับชั้นกล้ามเนื้อ ไม่ใช่การลดขนาดกระดูกโหนกแก้ม ดังนั้นเวลาผู้เข้ารับบริการยิ้มหรือหัวเราะ โหนกแก้มก็จะยังนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
การฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม เหมาะกับใคร?
การฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้มเป็นอีกทางเลือกในการรักษาที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการปรับเปลี่ยนขนาดโหนกแก้มให้เล็กลงมากนัก และไม่กังวลหากผลลัพธ์หลังรักษาจะไม่ได้คงอยู่ตลอดไป
การฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้มยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดขนาดโหนกแก้มในระดับไม่มากนัก ร่วมกับรักษาความตึง ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อย และริ้วรอยแห่งวัยของใบหน้าส่วนอื่นๆไปพร้อมกัน
4. ฉีดไขมันหรือฉีดฟิลเลอร์ปรับพื้นผิวใบหน้าให้เข้ากับโหนกแก้ม
นอกจากวิธี “ลดขนาด” แล้ว การ “เพิ่มขนาด” สัดส่วนของใบหน้าก็สามารถช่วยลดขนาดของรูปโหนกแก้มที่เห็นได้ชัดเช่นกัน ผ่านการฉีดไขมัน (Lipofilling) หรือสารฟิลเลอร์ (Filler) ซึ่งเป็นสารเติมเต็มลงที่ใบหน้าส่วนที่ตอบ หรือมีเนื้อผิวค่อนข้างน้อย เช่น หน้าผาก ขมับ แก้ม ทำให้เนื้อผิวบนใบหน้ามีความหนาและสม่ำเสมอกัน
เมื่อแสดงสีหน้า ยิ้ม หรือหัวเราะ เนื้อผิวที่ได้รับการเติมเต็มให้อิ่มมากขึ้นจะช่วยบดบังมิติของโหนกแก้มไม่ให้เด่นจนเกินไปได้
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดไขมันหรือการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดไขมันหรือฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์หลังจากรักษาได้หลายส่วน ไม่ใช่เพียงการปิดบังขนาดโหนกแก้มเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบ มีเนื้อผิวที่สมบูรณ์ทั่วถึงกัน เสริมบุคลิกให้ดูมีโครงหน้าหวาน หน้าเด็ก หรือมีชีวิตชีวามากขึ้นได้
การฉีดฟิลเลอร์ผิวยังมีขั้นตอนเป็นเพียงการใช้เข็มฉีดสารลงไปใต้ผิวเท่านั้น ไม่ต้องมีการผ่าตัดหรือพักฟื้นใดๆ จึงเป็นวิธีการลดโหนกแก้มที่ง่ายและยังช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ใบหน้ามากขึ้น
แต่การฉีดฟิลเลอร์ผิวก็ต้องอาศัยความชำนาญในการรักษากับแพทย์เช่นเดียวกัน มิฉะนั้นสัดส่วนและมิติของใบหน้าหลังฉีดสารเติมเต็มอาจดูผิดเพี้ยนไปได้ นอกจากนี้อายุของผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ยังอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นต้องกลับมาฉีดซ้ำอีก เพื่อคงผลลัพธ์เอาไว้เช่นเดิม
ฉีดไขมันหรือฟิลเลอร์ปรับใบหน้าให้เข้ากับโหนกแก้ม เหมาะกับใคร?
การฉีดสารเติมเต็มให้กับใบหน้าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเนื้อผิวหน้าให้ชัดและเต็มยิ่งขึ้น ไม่ได้ต้องการปรับมิติใบหน้าในส่วนของโหนกแก้มเพียงอย่างเดียว รวมถึงผู้ที่อยากเสริมโครงหน้าให้ดูอ่อนเยาว์หรือดูอ่อนหวานขึ้น
5. การฉีดเมโสแฟตสลายไขมันลดโหนกแก้ม
บางครั้งโหนกแก้มที่ใหญ่และเห็นได้ชัด อาจเกิดมาจากชั้นไขมันใต้ผิวที่เยอะขึ้น ทำให้ขนาดโหนกแก้มที่อาจปกติอยู่แล้วดูมีมิติเกินความจำเป็น การฉีดสลายไขมันหรือฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) จัดเป็นการฉีดสารยาเพื่อบรรเทาปัญหานี้โดยเฉพาะ
การฉีดเมโสแฟต คือ การฉีดสารยาที่มีส่วนผสมช่วยเข้าไปกระตุ้นไขมันใต้ผิวให้แตกตัวและสลายไปในที่สุดผ่านการขับถ่ายโดยธรรมชาติของร่างกาย เช่น สาแอลคาร์นิทีน (L-Carnitine) สารทีโอฟิลลีน (Theophylline)
การฉีดเมโสแฟตยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายดึงไขมันส่วนเกินออกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้ไขมันที่สะสมอยู่จนเกิดเป็นเนื้อผิวส่วนเกินลดลง รวมถึงบริเวณโหนกแก้มด้วย
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดเมโสแฟต สลายไขมันลดโหนกแก้ม
การฉีดเมโสแฟตสามารถทำได้ทั่วแทบทุกส่วนของร่างกาย ไม่ใช่แค่ใบหน้าหรือใต้คางเท่านั้น และมีขั้นตอนการรักษาไม่ซับซ้อนคล้ายกับการฉีดโบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ คือ เป็นการใช้เข็มฉีดสารลงไปบริเวณที่ต้องการ เพื่อให้ไขมันใต้ผิวบริเวณดังกล่าวสลายตัวและถูกขับออกไปจากร่างกาย
แต่การฉีดเมโสแฟตเป็นเพียงการลดโหนกแก้มในระดับของชั้นไขมันเท่านั้น ผลลัพธ์หลังจากรักษาหรือสัดส่วนของขนาดโหนกแก้มจึงอาจไม่ได้เห็นชัดเจนจนสังเกตเห็นได้ง่าย
และสารเมโสแฟตยังมีผลลัพธ์อยู่ได้เพียง 6-8 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นหากยังพึงพอใจในผลลัพธ์แบบเดิม ก็ต้องกลับมาฉีดซ้ำอีกครั้ง
การฉีดเมโสแฟต สลายไขมันลดโหนกแก้ม เหมาะกับใคร?
การฉีดเมโสแฟต สลายไขมันเพื่อลดโหนกแก้มจะเหมาะกับผู้เข้ารับบริการที่โหนกแก้มดูมีมิติหรือใหญ่เกินไปจากชั้นไขมัน ซึ่งจะต้องตรวจสอบโดยแพทย์อย่างละเอียดก่อนรับบริการ มิเช่นนั้นวิธีการรักษานี้อาจไม่คุ้มค่านัก เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ของการรักษาที่จะเน้นไปในส่วนของการสลายไขมันโดยเฉพาะ
6. การร้อยไหม กระชับบริเวณโหนกแก้ม
การร้อยไหมเป็นการทำหัตถการผ่านการใช้เส้นไหมพิเศษเข้าไปยกกระชับผิวส่วนที่มีปัญหาหย่อนคล้อย หรือไม่กระชับให้กลับมาเต่งตึง
เส้นไหมที่ใช้การทำหัตถการประเภทนี้ยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนผิวทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่ดูเรียบเนียน กระจ่างใสขึ้นได้ นับเป็นวิธีรักษาความงามที่ให้ผลลัพธ์แบบคูณสอง
การร้อยไหมสามารถร้อยได้ลงไปถึงชั้นเนื้อเยื่อซึ่งห่อหุ้มกล้ามเนื้อเอาไว้ และเป็นชั้นผิวที่แพทย์ทำศัลยกรรมเพื่อดึงหน้า หรือที่เรียกว่าชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) สามารถทำได้หลายบริเวณแบบเฉพาะจุด รวมถึงบริเวณโหนกแก้ม
การร้อยไหมเพื่อลดโหนกแก้มนั้นจะไม่ใช่การปรับขนาดโหนกแก้มโดยตรง แต่จะเป็นการปรับความกระชับของกล้ามเนื้อที่โหนกแก้มให้กลับมาตึงอีกครั้ง ส่งผลให้โหนกแก้มที่อาจดูหย่อนหรือนูนชัดจากผิวที่ไม่เต่งตึงกลับมายกขึ้น และกลมกลืนไปกับชั้นเนื้อผิวส่วนอื่น
ข้อดีและข้อเสียของการร้อยไหม กระชับบริเวณโหนกแก้ม
การร้อยไหมมีจุดเด่นที่สุดในส่วนของการยกกระชับความหย่อนคล้อยของใบหน้า ทำให้กรอบหน้าที่ดูใหญ่หรือบานกลับมาเรียวหรือเป็น V Shape อย่างที่หลายคนนิยมกันในตอนนี้
ด้วยเหตุนี้ การร้อยไหมจึงสามารถเสริมความตึงของผิวไปพร้อมๆ กับการพรางมิติของโหนกแก้มได้ แต่ผู้เข้ารับบริการก็จำเป็นต้องเข้าใจกลไกการลดโหนกแก้มด้วยวิธีนี้ว่า เป็นวิธีที่ไม่ได้ลดขนาดกระดูกโหนกแก้มโดยตรง แต่เป็นการเสริมความตึงทำให้ผิวที่อุ้มโหนกแก้มไม่ยานจนยิ่งเห็นเป็นเนื้อผิวที่นูน และผลลัพธ์หลังการรักษาอาจไม่ได้เห็นได้ชัดมาก
7. การทำไฮฟู่หรือเทอร์มาจปรับบริเวณโหนกแก้ม
นอกจากการทำหัตถการแบบฉีดหรือที่ใช้เข็ม การทำหัตถการผ่านการยิงคลื่นพลังงานก็สามารถลบเลือนมิติของโหนกแก้มให้เบาจางลงได้ อย่างเช่นการทำไฮฟู่หรือการทำเทอร์มาจ ซึ่งเป็นนวัตกรรมความงามเพื่อยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
การทำไฮฟู่ (High-intensity Focused Ultrasound: HIFU) คือ การใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ (Focus Ultrasound) ยิงลงไปยังชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) เพื่อปรับการเรียงตัวและความกระชับของชั้นผิวดังกล่าวให้แน่นขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงบริเวณโหนกแก้ม
แบรนด์เครื่องทำ HIFU ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบรนด์ด้วยกันคือ เครื่อง Ultraformer III และเครื่อง Ulthera
ส่วนการทำเทอร์มาจ (Thermage) เป็นเทคโนโลยีที่มีกลไกคล้ายกับเครื่องทำ HIFU แต่จะเป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) เข้าไปปรับความหย่อนคล้อยของผิว ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานที่มีขนาดใหญ่กว่า กระจายตัวกว้างกว่า และมีความโดดเด่นด้านการลบริ้วรอยแห่งวัยได้ดีกว่าการทำ HIFU
การทำไฮฟู่หรือการทำเทอร์มาจเป็นการเข้าไปลดมิติของโหนกแก้มผ่านการปรับความกระชับของผิวหน้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการยิงพลังงานซึ่งเป็นจำนวนช็อตส์ (Shots) ให้กับผู้เข้ารับบริการ เพื่อปรับโครงสร้างใบหน้าตามที่ต้องการ โดยอาจยิงร่วมกับการปรับโครงหน้าในส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น หน้าผาก หางคิ้ว แก้ม ใต้คาง หรือเหนียง
ลักษณะอาการเจ็บผิวระหว่างทำไฮฟู่และการทำเทอร์มาจจะคนละแบบกับการทำหัตถการแบบเข็มฉีดยา โดยจะเป็นความรู้สึกตึงและเจ็บระบมอยู่ข้างในผิวมากกว่า คล้ายกับเวลาถอนฟันหรือมีแรงมาดึงผิวอยู่ข้างใน แต่มักอยู่ในระดับที่ทนได้ และจะมีการทายาชาให้ก่อนล่วงหน้าในแทบทุกสถานพยาบาล
ข้อดีและข้อเสียของการทำไฮฟู่และการทำเทอร์มาจปรับบริเวณโหนกแก้ม
การทำไฮฟู่และการทำเทอร์มาจมีจุดเด่นด้านการปรับความกระชับและริ้วรอยของผิว ส่งผลให้โครงหน้าหลังรับบริการเรียวกระชับขึ้น
ส่วนการปรับโครงหน้าในส่วนของโหนกแก้มนั้น การทำไฮฟู่และเทอร์มาจจะช่วยเสริมความกระชับของผิวบริเวณโหนกแก้มที่อาจหย่อนจนนูนชัดให้มีมิติลงตัวกับไปเครื่องหน้าส่วนอื่นมากขึ้น ทำให้องค์รวมขององค์ประกอบใบหน้าทุกส่วนดูเรียวและเต่งตึงทั้งหมด แต่จะไม่ได้ลดขนาดกระดูกโหนกแก้มให้เล็กลงแต่อย่างใด
อายุของผลลัพธ์จากการทำไฮฟู่และการทำเทอร์มาจยังไม่ได้คงอยู่ตลอดไปด้วย โดยผลลัพธ์จากการทำไฮฟู่นั้นจะคงอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน ส่วนการทำเทอร์มาจจะคงอยู่ได้ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับผิวของผู้เข้ารับบริการแต่ละท่าน
การทำไฮฟู่และการทำเทอร์มาจปรับบริเวณโหนกแก้ม เหมาะกับใคร?
การทำไฮฟู่และการทำเทอร์มาจเหมาะสำหรับผู้ที่อยากให้ใบหน้าดูเรียว หรืออยากลดขนาดกรอบหน้าที่อาจดูใหญ่ บาน หรือไม่พอใจในขนาดโครงหน้า ณ ปัจจุบันและปรับให้ดูเล็กลง รวมถึงผู้ที่มีปัญหาด้านริ้วรอยแห่งวัยและอยากรักษาไปพร้อมๆ กับยกกระชับกรอบหน้าให้ดูเรียวเล็กขึ้นด้วย
การทำไฮฟู่และเทอร์มาจยังตอบโจทย์กับผู้ที่ต้องการมีแบบหน้าแบบ V Line หรือมีโครงหน้ารูปตัววีด้วย
ในส่วนของการลดโหนกแก้ม การทำไฮฟู่และการทำเทอร์มาจก็มีส่วนช่วยได้เช่นกัน แต่อาจไม่ได้ทำให้มิติขององค์ประกอบหน้าเฉพาะส่วนนี้ลดลงไปอย่างชัดเจนนัก แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์วิธีการรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วย
ลดโหนกแก้ม ต้องทำวิธีเดียวเท่านั้นหรือไม่?
ไม่จำเป็น และหลายครั้งที่แพทย์จะเป็นผู้แนะนำให้ผู้เข้ารับบริการใช้วิธีลดกระดูกโหนกแก้มหลายวิธีร่วมกันในการรักษาครั้งเดียว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของมิติใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดและสมดุลกันทุกส่วน ไม่ใช่เพียงส่วนโหนกแก้มเท่านั้น ตัวอย่างเช่น
- ผ่าตัดลดโหนกแก้มร่วมกับดูดไขมัน
- ผ่าตัดลดโหนกแก้มร่วมกับศัลยกรรมเสริมจมูก หรือเสริมคาง
- ผ่าตัดลดโหนกแก้มร่วมกับฉีดฟิลเลอร์
การรักษาหลายวิธีควบคู่กันจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่เห็นได้ชัดก็จริง แต่ก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ผู้เข้ารับบริการจึงควรไตร่ตรองให้ดีหรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่ลงตัวกับเวลา ค่ารักษา และผลลัพธ์ที่ออกมามากที่สุด
การเตรียมตัวก่อนรับบริการลดโหนกแก้ม
แม้แต่ละวิธีจะมีการเตรียมตัวที่ต่างกันออกไปบ้าง แต่การเตรียมตัวหลักๆ อาจแบ่งออกเป็นกลุ่มให้เข้าใจง่ายได้ ดังนี้
การเตรียมตัวลดโหนกแก้มด้วยโบท็อกซ์ สารเติมเต็ม เมโสแฟต ร้อยไหม การทำไฮฟู่ และเทอร์มาจ
ในส่วนของการรับบริการลดโหนกแก้มผ่านวิธีฉีดโบท็อกซ์ ฉีดสารเติมเต็ม เมโสแฟต การร้อยไหม และการทำไฮฟู่หรือทำเทอร์มาจนั้น ผู้เข้ารับบริการแทบไม่ต้องเตรียมอะไรมากเป็นพิเศษ เพียงปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ ก็เพียงพอแล้ว
- เข้าพบแพทย์ก่อนตกลงรับบริการ เพื่อให้แพทย์ตรวจดูผิวส่วนที่มีปัญหาหรืออยากรักษาอย่างละเอียดเสียก่อน
- แจ้งประวัติด้านสุขภาพ โรคประจำตัว ยาที่รับประทานอยู่ ณ ปัจจุบัน ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
- แจ้งประวัติการแพ้ยาหรือสารเคมีต่างๆ
- งดการแต่งหน้า ทาครีมบำรุงผิวมาในวันรับบริการ
- งดสูบบุหรี่และบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 24 ชั่วโมงหรือ 1-2 สัปดาห์ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
- งดการรับประทานยา วิตามิน อาหารเสริมบางกลุ่มก่อนรับบริการ เช่น ยากลุ่มแอสไพริน (Aspirin) ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือหากไม่แน่ใจให้สอบถามแพทย์ก่อน เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อการรักษาได้
- งดเว้นการรับบริการยิงเลเซอร์รักษาผิว หรือการทำหัตถการบางอย่างล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนก่อนมารับบริการ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
การเตรียมตัวลดโหนกแก้มด้วยผ่าตัดเพื่อกรอ เหลา หรือตัดโหนกแก้ม
ในส่วนของการรับบริการผ่าตัดเพื่อกรอ เหลา หรือตัดโหนกแก้มนั้น ผู้เข้ารับบริการจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษหลายอย่าง เพราะจัดเป็นการผ่าตัด มีการดมยาสลบ ซึ่งหากไม่มีการเตรียมร่างกายและสุขภาพมาก่อน ก็อาจส่งผลข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อนบางอย่างได้ ดังต่อไปนี้
- แจ้งประวัติด้านสุขภาพ โรคประจำตัว ยาประจำวัน และประวัติแพ้ยาให้แพทย์ทราบก่อนอย่างละเอียด
- งดสูบบุหรี่ งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- งดรับประทานอาหารและงดดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
- งดรับประทานยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- งดรับประทานวิตามิน อาหารเสริมที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของแผล เช่น วิตามินเอ วิตามินอี น้ำมันตับปลา เป็นเวลา 2 สัปดาห์ -1 เดือน ก่อนผ่าตัด
- ผู้เข้ารับบริการควรหยุดงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อให้มีเวลาพักผ่อนและพักฟื้นแผลหลังผ่าตัด
- หากก่อนผ่าตัดมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ให้แจ้งแพทย์ก่อนเดินทางมารับบริการ
- ผู้เข้ารับบริการควรพาญาติหรือคนสนิทเดินทางมาในวันรับบริการด้วย เพราะหลังจากผ่าตัด หลายสถานพยาบาลจะให้พักฟื้น 1-2 คืนที่โรงพยาบาล ในระหว่างนั้นผู้เข้ารับบริการอาจเจ็บหรือระบมแผลจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้สะดวกนัก หรือไม่สามารถเดินทางกลับบ้านเองได้
- ผู้เข้ารับบริการสามารถสระผมมาก่อนในวันรับบริการได้ เพราะหลังจากผ่าตัดอาจไม่สามารถสระผมได้สระผมได้ในระยะหนึ่ง
- งดแต่งหน้า ทาครีมบำรุงผิว ยาทาเล็บ เล็บปลอม รวมถึงเครื่องประดับอื่นๆ ในวันรับบริการตามที่แพทย์แนะนำ
ขั้นตอนการรับบริการลดโหนกแก้ม
ขั้นตอนการลดโหนกแก้มด้วยโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ไขมันเติมเต็ม และเมโสแฟต
การรับบริการที่เป็นสารบรรจุอยู่ในเข็มฉีดยา เช่น สารโบท็อกซ์ สารฟิลเลอร์ ไขมันเติมเต็ม และสารเมโสแฟต จะมีกระบวนการรับบริการที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่
- เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผิวบริเวณที่รับบริการ
- เจ้าหน้าที่ทายาชา ฉีดยาชา หรืออาจเป็นการใช้น้ำแข็งประคบเพื่อให้ผิวชาชั่วขณะ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการเป็นหลัก หากกลัวเจ็บมากก็สามารถป้องกันด้วยหลายวิธีควบคู่กันได้
- แพทย์เริ่มฉีดสารสำหรับรักษาผิวผ่านเข็มฉีดยาลงไปใต้ผิวทีละจุดอย่างละเอียด
ขั้นตอนการลดโหนกแก้มด้วยการร้อยไหม
ในส่วนบริการร้อยไหมนั้นกระบวนการจะมีความแตกต่างออกไปเล็กน้อย โดยมีขั้นตอนหลักดังต่อไปนี้
- เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผิวบริเวณที่รับบริการ
- เจ้าหน้าที่ทายาชาทิ้งไว้บนผิวประมาณ 30-45 นาที
- เมื่อยาชาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว เจ้าหน้าที่อาจทายา ครีมเตรียมผิวก่อนร้อยไหม หรือยาฆ่าเชื้อให้ก่อน
- แพทย์เริ่มใช้เข็มซึ่งมีเส้นไหมพิเศษสอดอยู่ร้อยลงไปใต้ผิว
- ระหว่างที่รับบริการ ผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกถึงแรงดึงเล็กน้อยบริเวณใต้ผิว และรู้สึกเหมือนผิวหนังถูกยกกระชับขึ้นทันที
- เมื่อร้อยไหมเสร็จแล้วแพทย์จะผูกปมและตัดปลายไหมให้เรียบร้อย จากนั้นปิดพลาสเตอร์บริเวณรูเข็ม เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน
ขั้นตอนการลดโหนกแก้มด้วยไฮฟู่หรือเทอร์มาจ
สำหรับบริการทำไฮฟู่หรือการทำเทอร์มาจนั้น กระบวนการรักษาจะคล้ายกับการฉีด แต่จะเป็นการใช้หัวยิงพลังงานจากเครื่องที่ใช้รักษายิงพลังงานลงไปใต้ผิวของผู้เข้ารับบริการเท่านั้น ไม่ได้มีการใช้เข็มฉีดยาหรือเข็มร้อยไหมแต่อย่างใด ซึ่งมีขั้นตอนโดยสรุปดังต่อไปนี้
- เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผิวบริเวณที่รับบริการ
- เจ้าหน้าที่ทายาชาทิ้งไว้บนผิวประมาณ 30-45 นาที
- เจ้าหน้าที่ครีมหรือเจลนำสื่อพลังงานจากเครื่อง เพื่อการยิงพลังงานที่ลงไปถึงชั้นผิวได้ลึกขึ้น
- แพทย์เริ่มยิงพลังงานจากเครื่องลงไปใต้ชั้นผิวทีละส่วน ส่วนมากใช้ระยะเวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
- เมื่อยิงพลังงานเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่อาจทาครีมป้องกันความระคายเคืองหรือลดรอยแดงหลังยิงพลังงานให้ผู้เข้ารับบริการ จากนั้นก็สามารถเดินทางกลับบ้านได้เลย
ขั้นตอนการลดโหนกแก้มด้วยการผ่าตัดเพื่อลดขนาดโหนกแก้ม
สำหรับกระบวนการผ่าตัดเพื่อลดขนาดโหนกแก้มนั้น จะมีขั้นตอนที่อาจกินระยะเวลายาวนานกว่าการทำหัตถการอื่นและดำเนินการในห้องผ่าตัดที่ปลอดเชื้อเท่านั้น โดยมีกระบวนการดังต่อไปนี้
- วิสัญญีแพทย์ให้ผู้เข้ารับบริการดมยาสลบก่อนเริ่มผ่าตัด
- แพทย์เปิดแผลในช่องปาก อาจรวมถึงบริเวณไรผมข้างหูด้วย แล้วใช้เครื่องมือพิเศษกรอ เหลา หรือตัดกระดูกโหนกแก้มตามความเหมาะสมของแผนการรักษา ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- เมื่อศัลยกรรมส่วนกระดูกเสร็จแล้ว ในกรณีตัดกระดูก แพทย์จะเชื่อมต่อกระดูกเข้าหากันด้วยวัสดุพิเศษเสียก่อน
- แพทย์เย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย (ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาล)
การดูแลตัวเองหลังลดโหนกแก้ม
การดูแลตัวเองหลังลดโหนกแก้มด้วยโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ไขมันเติมเต็ม เมโสแฟต ร้อยไหม ไฮฟู่และเทอร์มาจ
ในส่วนของวิธีการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ไขมันเติมเต็ม เมโสแฟต การร้อยไหม และการทำไฮฟู่หรือเทอร์มาจ ผู้เข้ารับบริการแทบจะไม่ต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษเลย โดยข้อควรระวังหรือข้อห้ามส่วนมากจะเกี่ยวกับความร้อนเสียส่วนใหญ่ เช่น
- งดการอาบแดด อาบน้ำร้อน ซาวน่า อบไอน้ำ นวดสปา หรือนวดแผนไทยประมาณ 1-2 สัปดาห์แรกหลังรับบริการ
- งดการรับประทานอาหารร้อนจัด เช่น ชาบู ปิ้งย่าง รวมถึงอาการที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้
- ดื่มน้ำให้มากๆ
- งดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่แบบระยะยาว หรือหากเลิกได้ถาวรก็จะเป็นผลดีที่สุดต่อสุขภาพ
- หากมีอาการปวดหรือบวมผิวบริเวณที่รักษา ให้ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้
- แพทย์อาจแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการที่เพิ่งผ่านการร้อยไหมไม่ให้นอนคว่ำ หรือนอนตะแคงจนทำให้ผิวที่ร้อยไหมกระทบกระเทือน
- งดรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เพื่อลดโอกาสเกิดไขมันสะสมในร่างกายเพิ่ม
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดลดโหนกแก้ม
การดูแลตนเองหลังจากผ่าตัดลดโหนกแก้มจะมีคำแนะนำที่ผู้เข้ารับบริการต้องทำตามค่อนข้างเยอะและเคร่งครัดกว่าการทำหัตถการแบบอื่น เนื่องจากหากไม่ปฏิบัติตาม แผลผ่าตัดก็อาจมีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนจนติดเชื้อรุนแรงหรืออักเสบได้
สิ่งที่ผู้เข้ารับบริการต้องทำหลังจากผ่าตัดลดโหนกแก้ม มีดังต่อไปนี้
- ประคบเย็นหลังผ่าตัด 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวม
- นอนหมอนสูง เพื่อให้แผลผ่าตัดอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าหัวใจ ซึ่งจะบรรเทาอาการบวมของแผลให้ยุบตัวเร็วขึ้นได้
- รับประทานอาหารอ่อนๆ ไม่ต้องเคี้ยว เนื้อไม่หนืด หรือมีเนื้อแข็งประมาณ 6-8 สัปดาห์หลังผ่าตัด หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาตให้รับประทานาอาหารประเภทอื่นได้
- บ้วนปากหลังจากรับประทานอาหารเสร็จทุกมื้อ
- แปรงฟันให้สะอาดและใช้น้ำยาบ้วนปากร่วมด้วยทุกครั้ง
- งดการออกกำลังกายและกิจกรรมใดๆ ที่สร้างความกระทบกระเทือนให้แผล
- กลับมาพบแพทย์เพื่อติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้าและความเรียบร้อยของแผลทุกครั้ง
ระยะเวลาพักฟื้นหลังจากผ่าตัดลดโหนกแก้มจะอยู่ที่ 1-3 เดือนหลังผ่าตัด ส่วนระยะเวลาที่ใบหน้าจะเริ่มเข้าที่เป็นโครงสร้างที่สมดุลกลมกลืนกันจะอยู่ที่ 3-6 เดือนหลังผ่าตัด ซึ่งในระหว่างนี้ผู้เข้ารับบริการจะต้องดูแลความเรียบร้อยของแผลและทำความสะอาดแผลตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการลดโหนกแก้ม
ผลข้างเคียงหลังจากฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ไขมันเติมเต็ม เมโสแฟตการร้อยไหม และการทำไฮฟู่หรือเทอร์มาจมักอยู่ในรูปของอาการบวมผิว คันระคายเคืองผิว หรือผิวขึ้นรอยแดงเป็นส่วนมาก ซึ่งมักจะดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์หลังจากรับบริการ
ส่วนผลข้างเคียงหลังจากผ่าตัดลดโหนกแก้มก็มักเป็นอาการบวมแผลที่จะกินระยะเวลา 1-2 สัปดาห์หลังผ่า และผู้เข้ารับบริการอาจเจ็บระบมแผลได้เมื่อยาชาหมดฤทธิ์แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากผู้เข้ารับบริการมีอาการอื่นๆ ที่เกิดจากการรักษา ก็ควรเข้ารีบกลับไปพบแพทย์โดยทันที เช่น
- เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้อาเจียน
- หายใจไม่ออก
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- มีผื่นขึ้นอย่างรุนแรงและกระจายลุกลามไปเป็นวงกว้างบนผิวหนัง
- มีตุ่มพุพองร่วมกับมีหนองไหล
- การมองเห็นพร่าเบลอ
- มีอาการเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก คุมการขับถ่ายปัสสาวะไม่ได้
- แผลผ่าตัดมีเลือดออกมากผิดปกติ
ปัญหาแก้มห้อย อีกผลกระทบหลังลดโหนกแก้มที่เกิดขึ้นได้
ปัญหาแก้มห้อยหรือผิวแก้มหย่อนคล้อยเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยหลังจากผู้เข้ารับบริการลดโหนกแก้มไปแล้ว ส่วนมากมักพบได้ในผู้เข้ารับบริการที่ใช้วิธีการผ่าตัด
เนื่องจากการผ่าตัดลดโหนกแก้มไม่ว่าจะเป็นการกรอ เหลา หรือว่าตัดกระดูก ถือเป็นการผ่าตัดเพื่อกำจัดกระดูกบางส่วนของร่างกายออกไป ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายของคนเราจะห่อหุ้มกระดูกด้วยเนื้อผิวหนังและชั้นกล้ามเนื้อ
ดังนั้นเมื่อเนื้อกระดูกส่วนใดส่วนหนึ่งถูกกำจัดออก ผิวหนังส่วนที่เคยทำหน้าที่ยึดเกาะและประคองกระดูกส่วนนั้นเอาไว้จึงเกิดภาวะหย่อนคล้อยออกมา เนื่องจากไม่มีกระดูกให้ยึดเกาะอีกนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาแก้มห้อยสามารถรักษาได้ด้วยการทำหัตถการหลายอย่างเพื่อยกกระชับผิว เช่น การทำไฮฟู่ เทอร์มาจ การฉีดไขมันเพื่อเติมเต็มเนื้อส่วนที่ห้อยให้กลับมาอิ่มอีกครั้ง หรือการศัลยกรรมเพื่อดึงหน้า ซึ่งเป็นการศัลยกรรมเพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาแก้มห้อยหลังลดโหนกแก้มไม่ใช่ปัญหาที่จะเกิดกับผู้เข้ารับบริการทุกคน
เพราะหากแพทย์ที่ทำการผ่าตัดมีความชำนาญในการปรับโครงสร้างใบหน้า ปัญหานี้ก็อาจไม่เกิดขึ้น หรือหากผู้เข้ารับบริการมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาแก้มห้อยหลังผ่าตัดได้ แพทย์ก็จะแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการรับการทำหัตถการหรือผ่าตัดอื่นๆ เสริมเพื่อป้องกันปัญหานี้ในภายหลังด้วย