ภาวะน้ำในปอด น้ำท่วมปอด อันตรายแค่ไหน

น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural effusion) น้ำท่วมปอด หรือ ภาวะน้ำในปอด คือการมีของเหลวปริมาณมากอยู่ในโพรงเยื่อหุ้มปอด (ช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มปอด 2 ชั้น) ซึ่งของเหลวดังกล่าวจะไปกดทับเนื้อเยื่อปอดจนแฟบลง ทำให้ถุงลมปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ จนระบบทางเดินหายใจทำงานผิดปกติได้

ภาวะน้ำในปอดนั้นเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค และอาจเกิดขึ้นกับปอดข้างเดียว หรือพร้อมกันทั้งสองข้างก็ได้

อาการของภาวะน้ำในปอด

อาการแสดงที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจที่สำคัญ ได้แก่

  • หายใจลำบาก หอบเหนื่อย โดยเฉพาะเมื่อนอนราบ
  • รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะข้างที่มีของเหลวคั่งค้างอยู่
  • หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย

นอกจากนี้ ยังอาจพบอาการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับระบบต่างๆ ของร่างกายด้วย เช่น

  • ไอเรื้อรัง และสะอึกบ่อยๆ เพราะเกิดการระคายเคืองปอด
  • มีไข้ หนาวสั่น ไอมีเสมหะ เนื่องจากปอดอักเสบ
  • มือเท้าบวม

ชนิดของภาวะน้ำในปอด และสาเหตุ

ของเหลวที่คั่งค้างในปอด แบ่งตามลักษณะได้ 2 ชนิด ได้แก่

1. ของเหลวชนิดขุ่น (Exudate)

ของเหลวชนิดนี้จะมีลักษณะขุ่นข้น สีออกเหลือง หรือเป็นหนอง สีออกคล้ำ เพราะมีเลือดปน มีความหนาแน่นสูง และในของเหลวจะประกอบด้วยสารต่างๆ ปริมาณมาก เช่น โปรตีน ไขมัน และน้ำตาลกลูโคส รวมถึงเซลล์ต่างๆ เช่น เซลล์มะเร็ง เซลล์เยื่อบุหุ้มปอด แบคทีเรีย และเชื้อรา

มักเกิดจากความเสียหายของผนังหลอดเลือดในเยื่อหุ้มปอด ทำให้ของเหลวในหลอดเลือดรั่วซึมเข้ามาในโพรงเยื่อหุ้มปอดได้ ซึ่งมักเกิดจากการอักเสบ

2. ของเหลวชนิดใส (Transudate) 

ลักษณะของของเหลวชนิดนี้ คือ มีสีใส ความหนาแน่นใกล้เคียงกับน้ำ ประกอบด้วยสารโปรตีน และคอเลสเตอรอลต่ำ

เป็นน้ำที่รั่วซึมออกมาจากหลอดเลือด มักเกิดจากความดันโลหิตสูง ทำให้แรงดันในหลอดเลือดสูงขึ้น หรือโปรตีนในเลือดต่ำ

สาเหตุของของเหลวในปอดทั้ง 2 ชนิด

1. สาเหตุที่ทำให้พบของเหลวชนิดใสในปอด

  • ภาวะหัวใจล้มเหลว ทำให้เกิดความดันย้อนกลับในหลอดเลือด ส่งผลให้ของเหลวในหลอดเลือดซึมเข้ามาในปอด และเยื่อหุ้มอวัยวะอื่นๆ จึงมักพบอาการมือเท้าบวมด้วย
  • โรคปอด ทำให้เนื้อเยื่อปอดแฟบลง ของเหลวภายในหลอดเลือดจึงเกิดแรงดัน และซึมเข้ามาในปอดได้
  • โรคตับแข็ง หรือตับวาย ตับมีหน้าที่ผลิตโปรตีนชนิดสำคัญในเลือด หากตับมีความผิดปกติ จะทำให้ระดับโปรตีนในเลือดลดลง จนแรงดันในหลอดเลือดผิดปกติได้
  • เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ไตวาย มีการล้างไตผ่านทางหน้าท้อง หรือผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

2. สาเหตุที่ทำให้พบของเหลวชนิดขุ่นในปอด

  • โรคมะเร็งอื่นๆ ที่แพร่มาสู่ปอด เช่น มะเร็งเต้านม ซึ่งอาจพบเซลล์มะเร็งเต้านมในของเหลวด้วย
  • โรคปอดบวม หรือปอดอักเสบจากการติดเชื้อ ของเหลวในปอดมักเป็นหนอง มีเลือดปน และพบเชื้อก่อโรคปะปนอยู่ด้วย
  • โรคปอดอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง
  • วัณโรคปอด มักพบหนองในปอดเช่นเดียวกัน
  • โรคมะเร็งปอด มะเร็งทำให้เกิดการอักเสบของปอด มักพบเซลล์มะเร็งปอด เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาวปนอยู่ในของเหลว
  • เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ไตวาย ทำให้ไม่สามารถกรองเลือดได้ตามปกติ หรือมีเลือดคั่งในอก

การรักษาภาวะน้ำในปอด

จะเน้นการรักษาที่สาเหตุร่วมกับการบรรเทาอาการ ซึ่งมีแนวทางดังนี้

1. การรักษาด้วยยา

แพทย์จะจ่ายยาให้ตามสาเหตุของโรค เช่น

  • หากเป็นปอดอักเสบจากการติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส ยาปฏิชีวนะต้านแบคทีเรีย หรือยากำจัดเชื้อรา ขึ้นอยู่กับชนิดเชื้อก่อโรค
  • หากเกิดน้ำในปอดจากโรคมะเร็งปอด หรือมะเร็งชนิดอื่น แพทย์จะให้ยาเคมีบำบัด และฉายรังสี เพื่อรักษามะเร็ง
  • หากมีอาการไอเรื้อรัง แพทย์อาจให้ยาแก้ไอ และยาละลายเสมหะด้วย

นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องให้สารน้ำ และอาหารทางหลอดเลือดดำ เพื่อชดเชยโปรตีน แร่ธาตุ และปรับสภาพความดันในหลอดเลือดให้เป็นปกติด้วย

2. การเจาะน้ำออกจากปอด

เป็นการเจาะที่ช่องอกเพื่อสอดเข็ม หรือท่อเข้าไปดูดน้ำภายในโพรงเยื่อหุ้มปอดออกมา ซึ่งหากมีปริมาณของเหลวเพิ่มขึ้นอีก ก็ต้องทำการเจาะซ้ำเรื่อยๆ

การเจาะปอดนั้น นอกจากจะทำเพื่อระบายของเหลวที่คั่งในปอดออกแล้ว ยังมีจุดประสงค์เพื่อนำของเหลวมาตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุของโรค เช่น นำมาเพาะเชื้อก่อโรค วัดระดับสารต่างๆ หรือนับจำนวนเซลล์อีกด้วย ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจาะปอด

ภาวะแทรกซ้อนจากการเจาะปอดนั้นอาจพบได้บ้างจากความผิดพลาดในการเจาะ หรือจากสาเหตุอื่นๆ เช่น

  • เกิดเนื้อเยื่อปอดฉีกขาด จนมีอากาศเข้าไปในโพรงหุ้มปอด
  • หากดูดน้ำออกเร็วเกินไป อาจทำให้ปอดขยายตัวจนเกิดภาวะบวมน้ำได้
  • เกิดการติดเชื้อในโพรงหุ้มปอด เนื่องจากเข็มไม่สะอาด
  • หลอดเลือดฉีกขาด ทำให้เลือดออกในโพรงหุ้มปอด
  • การคำนวณตำแหน่งผิด อาจทำให้อวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ม้าม เกิดความเสียหายได้

3. การผ่าตัด

หากปริมาณของเหลวในปอดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แพทย์อาจต้องผ่าตัดเพื่อสอดท่อสำหรับเปลี่ยนทิศทางน้ำในปอดไปสู่ช่องท้อง หรืออาจต้องผ่าตัดเยื่อหุ้มปอดบางส่วนออกไป

การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำในปอด

นอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว ตัวผู้ป่วยและญาติก็สามารถดูแลตัวเองให้เหมาะสมได้ โดยทำตามข้อแนะนำดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่นควัน สารเคมี เพราะจะทำให้ปอดระคายเคืองมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือโซเดียมสูง เช่น อาหารที่ปรุงด้วยน้ำปลา ขนมขบเคี้ยว อาหารหมักดอง และอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด รวมถึงลดปริมาณน้ำที่ดื่มลง เพื่อไม่ให้ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจทำให้ปริมาณของเหลวในปอดเพิ่มขึ้นได้ และควรเปลี่ยนมาทานอาหารรสจืดที่ย่อยง่าย และมีผักผลไม้มากๆ
  • หลีกเลี่ยงการออกแรงมาก เช่น การยกของหนัก หรือการออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะเมื่อปอดมีความผิดปกติ จะทำให้หายใจลำบาก และมีอาการหอบเหนื่อยง่าย

การป้องกันภาวะน้ำในปอด

หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อโรคที่ทำให้เกิดภาวะน้ำคั่งในปอด เช่น

  • งดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยคนอื่นๆ
  • ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ป้องกันโรคตับแข็ง โดยการงดดื่มแอลกอฮอล์
  • ป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อโรคในปอด โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
  • ป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โดยการลดอาหารที่มีไขมันสูง

ภาวะน้ำในปอด เกิดได้จากหลายสาเหตุ หลายปัจจัย การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สด สะอาด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

Scroll to Top