อาการเลือดออกใต้ผิวหนัง สังเกตได้จากจุดสีแดงเล็กๆ ที่เรียกว่า “จุดเลือดออก (Petechiae)” หรือ เป็นปื้นสีแดงแบนๆ ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “จ้ำเลือด (Purpura)” จุดสีแดงที่เกิดขึ้นบนผิวหนังนี้สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนมากมักจะเกิดจากการกระทบกระแทก หรือการได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
โดยปกติแล้วหากกดลงบนผิวหนังตนเอง จะพบว่า ผิวหนังบริเวณที่กดมีสีซีดขึ้นชั่วขณะ แต่ถ้ามีเลือดออกใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อกดลงบริเวณที่มีจ้ำเลือด ผิวหนังจะไม่เปลี่ยนสี
สารบัญ
สาเหตุของภาวะเลือดออกใต้ผิวหนัง
สาเหตุทั่วไปของอาการเลือดออกใต้ชั้นผิวหนัง อาจแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ คือ การบาดเจ็บ การติดเชื้อ โรคไม่ติดเชื้อ ซึ่งได้แก่
- การบาดเจ็บ
- ปฏิกิริยาแพ้
- การติดเชื้อของเลือด
- ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
- ได้รับการกระแทกจนมีอาการฟกช้ำ
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางประเภท
- ผลข้างเคียงจากกระบวนการรักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัด
- ผลข้างเคียงจากกระบวนการรักษาโรคมะเร็งด้วยรังสีบำบัด
- กระบวนการแก่ตัวตามธรรมชาติ
- โรคขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเค
นอกจากนี้ภาวะทางการแพทย์บางชนิดก็สามารถทำให้เกิดเลือดออกใต้ชั้นผิวหนังได้ ดังนี้
- ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) การอักเสบของชั้นเยื่อหุ้มที่ปกคลุมสมองกับไขสันหลัง
- ลูคีเมีย (Leukemia) มะเร็งเซลล์เม็ดเลือด
- คออักเสบ (Strep Throat) การติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้มีอาการเจ็บคอ
- การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) เป็นการอักเสบทั่วร่างกายที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย
เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์?
หากมีอาการต่อไปนี้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- รู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่มีเลือดออกใต้ผิวหนัง
- มีเลือดออกจากแผลเปิดค่อนข้างมาก
- มีก้อนเกิดขึ้นบนตำแหน่งที่เลือดออกใต้ผิวหนัง
- ผิวหนังที่มีเลือดออกมีสีคล้ำขึ้น
- มีอาการการบวมที่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า
- มีเลือดออกจากเหงือก จมูก ปัสสาวะ หรือในอุจจาระ
การวินิจฉัยอาการเลือดออกใต้ผิวหนัง
แพทย์จะสอบถามว่า มีภาวะทางการแพทย์ หรือกำลังรักษาภาวะใดอยู่ หรือไม่ และอาจสอบถามเกี่ยวกับการใช้อาหารเสริม สมุนไพร หรือยาต่างๆ ในปัจจุบัน
เนื่องจากยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ แอสไพริน หรือยาลดความข้นของเลือด สามารถทำให้เกิดอาการเลือดออกใต้ผิวหนังได้
หากยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แพทย์อาจพิจารณาให้เข้ารับการตรวจเลือด หรือปัสสาวะ เพื่อหาร่องรอยของการติดเชื้อ หรือภาวะทางการแพทย์ต่างๆ
หากจำเป็นอาจจะต้องมีการเอ็กซเรย์ร่างกาย หรืออัลตราซาวด์บริเวณที่มีอาการเพื่อตรวจสอบการแตกหัก หรือการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ
การรักษาอาการเลือดออกใต้ผิวหนัง
การรักษาอาการเลือดออกใต้ผิวหนังมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ หากมีภาวะติดเชื้อ หรือภาวะทางการแพทย์อื่นๆ แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อหยุดการไหลของเลือด และฆ่าเชื้อ
แต่สำหรับอาการเลือดออกใต้ผิวหนังที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยา แพทย์อาจแนะนำให้หยุดยาที่กำลังใช้อยู่ หรือเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นแทน
หากอาการเลือดออกใต้ผิวหนังมาจากการบาดเจ็บ สามารถรักษาด้วยตัวเองที่บ้านได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ยกอวัยวะที่บาดเจ็บให้สูง (หากทำได้)
- ประคบน้ำแข็งบริเวณที่บาดเจ็บเป็นเวลา 10 นาทีต่อครั้ง
- บรรเทาอาการปวดด้วยยา Acetaminophen หรือ Ibuprofen
หมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเอง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น อาการเลือดออกใต้ผิวหนัง แต่หากอาการมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ไม่ควรนิ่งเฉยเด็ดขาด แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยจะดีที่สุด