วัคซีนเด็ก กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ ในบ้าน


ฉีดวัคซีนเด็ก

เหตุการณ์เด็กๆ ในบ้านล้มป่วยย่อมสร้างความวิตกกังวลให้กับพ่อแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัว ดังนั้นมันจะดีกว่าหรือไม่หากคุณให้พวกเขาได้รับวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย เพื่อลดโอกาสเกิดอาการเจ็บป่วยจากโรคร้ายที่ไม่อาจทำนายล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน และอาการจะร้ายแรงเพียงใด

ในบทความนี้ HDmall.co.th จะพาทุกคนไปเจาะลึกเกี่ยวกับการฉีด “วัคซีนเด็ก” ซึ่งเป็นรายการวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก เป็นกระบวนการสำคัญที่พ่อแม่ทุกคนไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด และควรพาเด็กไปรับวัคซีนอย่างครบถ้วนทุกรายการ

แต่วัคซีนที่จำเป็นต่อสุขภาพเด็กๆ นั้นมีกี่ชนิด ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน แต่ละช่วงวัยควรฉีดอะไรบ้าง มาสำรวจข้อมูลพร้อมๆ กัน


เลือกหัวข้อที่สนใจได้ที่นี่

ขยาย

ปิด


ทำไมต้องฉีดวัคซีนให้เด็ก?

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเด็กๆ ต้องฉีดวัคซีนด้วย นอกจากทำให้เจ็บตัวแล้วยังสร้างความวุ่นวายให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องคอยดูแลเด็กไม่ให้ร้องไห้งอแงจนเสี่ยงบาดเจ็บจนเข็มฉีดยา

แต่ความจริงแล้ว การฉีดซีนเด็กเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายให้เด็กได้เป็นอย่างดี

เนื่องจากวัยเด็กเป็นช่วงวัยที่ภูมิคุ้มกันร่างกายยังไม่พัฒนาจนแข็งแรงสมบูรณ์ดีพอ จึงเสี่ยงเกิดอาการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ได้ง่าย ถึงแม้พ่อแม่ผู้ปกครองจะเลี้ยงดูเด็กให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาดและปลอดภัยก็ตาม

เพราะในแต่ละวัน ก็ยังมีโอกาสที่เด็กจะสูดเอาเชื้อโรคเข้าร่างกายผ่านการหายใจได้ หรือรับเอาสิ่งสกปรกเข้าไปก่อโรคผ่านการกินอาหาร หรือการเล่นของเล่น ซึ่งตามพฤติกรรมของเด็กมักจะหยิบเอาสิ่งของใกล้ตัวเข้าปากอยู่เสมอ และยากจะควบคุมอยู่ในสายตาผู้ปกครองได้ตลอด

นอกจากนี้ถึงแม้เด็กจะได้ภูมิคุ้มกันร่างกายจากน้ำนมแม่ในส่วนหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมีเชื้อโรคและเชื้อไวรัสอื่นๆ ที่ร่างกายเด็กยังไม่สามารถต่อสู้และกำจัดมันออกไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เด็กจึงต้องมีการพึ่งพาสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันจากวัคซีน เพื่อช่วยขับไล่สิ่งแปลกปลอมในร่างกายให้ออกไปจนหมดก่อนที่จะก่อโรคหรืออาการเจ็บป่วยนั่นเอง

ดังนั้นการฉีดวัคซีนเด็กจึงเป็นเหมือนการดูแลสุขภาพเด็กในเชิงรุก เพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันร่างกายเด็กให้ตอบสนองต่อสิ่งสกปรกหรือสารก่อโรคที่เข้าร่างกายได้ทันเวลา ช่วยลดความกังวลใจให้กับพ่อแม่และผู้ปกครองในการเลี้ยงดูเด็กได้

ฉีดวัคซีนเด็ก

วัคซีนที่เด็กควรได้รับมีอะไรบ้าง?

รายการวัคซีนที่ผู้ปกครองควรพาเด็กๆ ไปฉีดให้ครบ สามารถแบ่งได้ตามช่วงอายุของเด็ก ดังต่อไปนี้

1. เด็กแรกเกิด

เด็กทารกแรกเกิดอายุน้อยกว่า 1 เดือนควรรับวัคซีน 2 ชนิดด้วยกันได้แก่

  • วัคซีน BCG หรือวัคซีนป้องกันวัณโรค (Bacillus Calmette-Guern Vaccine) โดยควรฉีดให้เด็กทันทีหลังคลอด และก่อนเดินทางออกจากโรงพยาบาล
  • วัคซีน HB1 หรือวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นโรคติดต่อที่ส่งผ่านจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้ หากไม่รีบฉีดวัควัคซีนป้องกัน เด็กจะมีความเสี่ยงสูงต่อการล้มป่วยเป็นโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
    • ฉีดเข็มที่ 1 ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดเด็ก
    • ฉีดเข็มที่ 2 เมื่อเด็กอายุได้ 1-2 เดือน (ในกรณีมารดาเป็นพาหะนำโรค)

2. เด็กอายุ 2 เดือน

เมื่อเด็กอายุ 2 เดือน จะมีรายการวัคซีนเพิ่มเติมอีก 3 รายการ ได้แก่

  • วัคซีน DTP-HB-Hib หรือวัคซีนรวมป้องกัน 5 โรค (เข็มที่ 1) ได้แก่ โรคคอตีบ โรคบาดทะยัก โรคไอกรน โรคไวรัสตับอักเสบบี และโรคติดเชื้อแบคทีเรียฮิบ
  • วัคซีน RV หรือวัคซีนป้องกันไวรัสโรตา (Rotavirus) (เข็มที่ 1) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสตัวการสำคัญทำให้เด็กเกิดโรคอุจจาระร่วง
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (Oral Polio Vaccine) (ครั้งที่ 1) โดยโรคโปลิโอเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อลีบ หรือเป็นอัมพาตได้ ส่วนลักษณะวัคซีนแบบรับประทานจะเป็นยาหยดเข้าปากเด็กประมาณ 2-3 หยด

3. เด็กอายุ 4 เดือน

  • วัคซีน DTP-HB-Hib หรือวัคซีนรวมป้องกัน 5 โรค (เข็มที่ 2)
  • วัคซีน RV หรือวัคซีนป้องกันไวรัสโรตา (Rotavirus) (เข็มที่ 2)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (Oral Polio Vaccine) (ครั้งที่ 2)
  • วัคซีน IPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแบบฉีด

4. เด็กอายุ 6 เดือน

  • วัคซีน DTP-HB-Hib หรือวัคซีนรวมป้องกัน 5 โรค (เข็มที่ 3)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (Oral Polio Vaccine) (ครั้งที่ 3)
  • วัคซีน RV หรือวัคซีนป้องกันไวรัสโรตา (Rotavirus) (เข็มที่ 3)

5. เด็กอายุ 9 เดือน

  • วัคซีน MMR (Measles-Mumps-Rubella Vaccine) (เข็มที่ 1) หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน

6. เด็กอายุ 1 ขวบ

  • วัคซีน JEV หรือวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis Vaccine) (เข็มที่ 1)

7. เด็กอายุ 1 ขวบ 6 เดือน

  • วัคซีน MMR (Measles-Mumps-Rubella Vaccine) (เข็มที่ 2)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (Oral Polio Vaccine) (ครั้งที่ 4)
  • วัคซีน DTP (ครั้งที่ 4) เป็นวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ โรคบาดทะยัก และโรคไอกรน ซึ่งปรับมาจากวัคซีนป้องกัน 5 โรคที่ฉีดไปแล้ว 3 ครั้ง

8. เด็กอายุ 2 ขวบ 6 เดือน

  • วัคซีน JEV หรือวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis Vaccine) (เข็มที่ 2)

9. เด็กอายุ 4 ขวบ

  • วัคซีน DTP (ครั้งที่ 5)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (Oral Polio Vaccine) (ครั้งที่ 5)

รายการวัคซีนเด็กที่ควรฉีดให้ครบตามเกณฑ์

เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 7 ขวบหรืออยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผู้ปกครองและครูที่โรงเรียนควรมีการตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีนของเด็กอย่างละเอียดอีกครั้ง หากเด็กยังตกหล่นไม่ได้รับวัคซีนตัวใด ก็ให้รับการฉีดเพิ่มเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายต่อไป

โดยรายชื่อวัคซีนที่เด็กวัย 7 ขวบควรฉีดให้ครบตามเกณฑ์ จะมีดังต่อไปนี้

  • วัคซีน BCG หรือวัคซีนป้องกันวัณโรค
  • วัคซีน HB หรือวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน
  • วัคซีน MMR หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน
  • วัคซีน JEV หรือวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี
  • วัคซีน IPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแบบฉีด
  • วัคซีน DT หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบและโรคบาดทะยัก

นอกจากนี้เมื่อเด็กผู้หญิงเข้าสู่ช่วงวัย 11-12 ปี ผู้ปกครองก็ควรพาเด็กไปรับวัคซีน HPV ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกให้ครบถ้วน 2 ด้วย โดยระยะห่างระหว่างเข็ม 1 กับเข็ม 2 จะอยู่ที่ประมาณ 6 เดือน

วัคซีนทางเลือกสำหรับเด็กมีอะไรบ้าง?

วัคซีนทางเลือก (Optional Vaccines) คือ วัคซีนที่อยู่นอกเหนือจากวัคซีนเด็กพื้นฐานที่จำเป็นต้องฉีดให้กับเด็กทุกคน เป็นทางเลือกเสริมในการป้องกันโรคอื่นๆ เพิ่มเติม ตามแต่ความสะดวกของผู้ปกครองที่จะกำหนดให้เด็กฉีดหรือไม่ฉีดก็ได้ เช่น

  • วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) โดยควรฉีดปีละ 1 เข็มอย่างสม่ำเสมอ
  • วัคซีนโรคตับอักเสบเอ (Hepatitis A)
  • วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies vaccine)
  • วัคซีน​​โรคอีสุกอีใส (Varicella vaccine)
  • วัคซีนโรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Conjugated Vaccine)
  • วัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส ป้องกันการเกิดโรคสมองอักเสบ (Pneumococcal vaccine)

เด็กฉีดวัคซีนช้าควรฉีดอย่างไร?

หากคุณไม่ได้พาเด็กไปฉีดวัคซีนตามช่วงวัยที่เหมาะสม หรือรับเลี้ยงเด็กที่ไม่มีประวัติการรับวัคซีนมาก่อน ทางกองป้องกันโรคด้วยวัคซีน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำกำหนดการฉีดวัคซีนเด็กที่ฉีดวัคซีนล่าช้าไว้ดังต่อไปนี้

เช็กราคาฉีดวัคซีนเด็ก

กรณีเด็กอายุ 1-6 ขวบ

1. ทันทีที่พบเด็กหรือรู้ว่า เด็กยังไม่ได้รับวัคซีน

มีรายการวัคซีนที่จำเป็น 3 ตัว ได้แก่

  • วัคซีน DTP-HB-Hib หรือวัคซีนรวมป้องกัน 5 โรค (ครั้งที่ 1)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (ครั้งที่ 1)
  • วัคซีน IPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแบบฉีด
  • วัคซีน MMR หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน (ครั้งที่ 1)
  • วัคซีน BCG หรือวัคซีนป้องกันวัณโรค

2. เดือนที่ 1 หลังพบเด็กหรือรู้ว่า เด็กยังไม่ได้รับวัคซีน

  • วัคซีน DTP-HB-Hib หรือวัคซีนรวมป้องกัน 5 โรค (ครั้งที่ 2)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (ครั้งที่ 2)
  • วัคซีน JEV หรือวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี (ครั้งที่ 1)

3. เดือนที่ 2

  • วัคซีน MMR หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน (ครั้งที่ 2)

3. เดือนที่ 4

  • วัคซีน DTP-HB-Hib หรือวัคซีนรวมป้องกัน 5 โรค (ครั้งที่ 3)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (ครั้งที่ 3)

4. เดือนที่ 12

  • วัคซีน DTP หรือวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ โรคบาดทะยัก และโรคไอกรน ซึ่งปรับมาจากวัคซีน DTP-HB-Hib โดยครั้งนี้จะเป็นการฉีดครั้งที่ 4
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (ครั้งที่ 4)
  • วัคซีน JEV หรือวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี (ครั้งที่ 2)

กรณีเด็กอายุ 7 ขวบขึ้นไป

1. ทันทีที่พบเด็กหรือรู้ว่า เด็กยังไม่ได้รับวัคซีน

  • วัคซีน DT หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบและโรคบาดทะยัก (ครั้งที่ 1)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (ครั้งที่ 1)
  • วัคซีน IPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแบบฉีด
  • วัคซีน MMR หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน
  • วัคซีน BCG หรือวัคซีนป้องกันวัณโรค

2. เดือนที่ 1 หลังพบเด็กหรือรู้ว่า เด็กยังไม่ได้รับวัคซีน

  • วัคซีน HB หรือวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (ครั้งที่ 1)
  • วัคซีน JEV หรือวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี (ครั้งที่ 1)

3. เดือนที่ 2

  • วัคซีน DT หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบและโรคบาดทะยัก (ครั้งที่ 2)
  • วัคซีน HB หรือวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (ครั้งที่ 2)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (ครั้งที่ 2)

4. เดือนที่ 7

  • วัคซีน HB หรือวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (ครั้งที่ 3)

5. เดือนที่ 12

  • วัคซีน JEV หรือวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี (ครั้งที่ 2)
  • วัคซีน DT หรือวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบและโรคบาดทะยัก (ครั้งที่ 3)
  • วัคซีน OPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (ครั้งที่ 3)

ก่อนฉีดวัคซีนเด็กผู้ปกครองควรเตรียมตัวอย่างไร?

การฉีดวัคซีนอาจเป็นกระบวนการที่ง่ายสำหรับผู้ใหญ่ แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ปกครองของเด็กซึ่งเป็นช่วงวัยที่มักมองการฉีดวัคซีนเป็นเรื่องน่ากลัว เมื่อรู้กำหนดการฉีดวัคซีนเด็กแล้ว ผู้ปกครองควรวางแผนการล่วงหน้า เพื่อให้กระบวนการฉีดวัคซีนดำเนินการไปอย่างเรียบร้อย เช่น

  • พาเด็กไปตรวจสุขภาพเสียก่อน เพื่อให้แน่ใจถึงสภาวะร่างกายของเด็กที่พร้อมต่อการรับวัคซีน มิฉะนั้นหากเด็กมีโรคประจำตัวหรืออาการเจ็บป่วยซ่อนอยู่ วัคซีนอาจไปกระตุ้นให้อาการเหล่านั้นรุนแรงขึ้นได้
  • แจ้งประวัติแพ้ยา แพ้วัคซีน ยาประจำตัว วิตามินเสริม อาหารเสริมที่เด็กกำลังรับอยู่ให้แพทย์ทราบอย่างครบถ้วนก่อนวันมาฉีดวัคซีน
  • หากเด็กมีไข้ หรือเจ็บป่วยกะทันหัน ให้แจ้งสถานพยาบาลเพื่อเลื่อนนัดหมายฉีดวัคซีนใหม่ ไม่ควรฝืนพาเด็กมาฉีดวัคซีนโดยที่สุขภาพยังไม่แข็งแรง
  • หาสิ่งหลอกล่อเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเด็กจากเข็มวัคซีน อาจเป็นตุ๊กตา ของเล่น การ์ตูน หรือนิทานเรื่องโปรด
  • ควรให้เด็กนั่งอยู่บนเก้าอี้สบายๆ หรือบนตักของผู้ใหญ่ที่เด็กไว้ใจ
  • ใจเย็นๆ และตั้งสติ เพราะมีโอกาสที่เด็กจะร้องไห้หรือเสียงดังจนผู้ปกครองรู้สึกโกรธจนเผลอตะคอกเด็กได้ และจะยิ่งทำให้เด็กรู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีก หากไม่แน่ใจว่าสามารถรับมือเด็กได้ตามลำพัง ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่หรือพยาบาลแผนกที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ช่วยดูแลเด็กในระหว่างฉีดวัคซีนร่วมด้วย
ฉีดวัคซีนเด็ก ราคาประหยัด

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีนให้เด็ก

หลังฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว เด็กอาจมีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นได้ เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ผิวบริเวณที่รับวัคซีนบวมแดง อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในช่วง 2-3 วัน

นอกเหนือจากอาการข้างเคียงเพียงเล็กน้อย ก็ยังมีอาการข้างเคียงรุนแรงจากการรับวัคซีนเด็กที่เกิดขึ้นได้ หากผู้ปกครองพบอาการเหล่านี้ ก็ให้รีบพาเด็กกลับมาพบแพทย์ทันที แต่โดยปกติจะเกิดขึ้นได้ยาก และพบได้ไม่บ่อยนัก เช่น

  • คลื่นไส้อาเจียน
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • สูญเสียความทรงจำ หรือไม่มีสมาธิ
  • สูญเสียการได้ยิน
  • การนอนหลับผิดปกติ เช่น นอนไม่หลับ นอนเยอะกว่าปกติ หรือนอนหลับๆ ตื่นๆ

เช็กราคาแพ็กเกจฉีดวัคซีนเด็กที่สถานพยาบาลชั้นนำและปลอดภัยด้วยราคาส่วนลดโดนใจผ่านเว็บไซต์ HDmall.co.th หรือสอบถามแพ็กเกจฉีดวัคซีนเด็กที่เหมาะกับช่วงวัยบุตรหลานของท่านผ่านไลน์ @hdcoth


บทความที่เกี่ยวข้อง


ที่มาของข้อมูล

ขยาย

ปิด

  • Amy Boulanger, Everything You Need to Know About Vaccinations (https://www.healthline.com/health/vaccinations), 30 April 2022.
  • Center For Disease Control And Prevention, Making the Vaccine Decision: Addressing Common Concerns (https://www.cdc.gov/vaccines/parents/why-vaccinate/vaccine-decision.html), 30 April 2022.
  • Ontorio Ministry of Health Ministry of Long-Term Care, Preparing children for school vaccinations: A parent’s guide (https://www.health.gov.on.ca/en/pro/programs/publichealth/coronavirus/docs/vaccine/CARD_parent_pamphlet.pdf), 30 April 2022.
  • แผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กองโรคป้องกันด้วยวัคซีน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, กำหนดการให้วัคซีนตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2564 (https://ddc.moph.go.th/uploads/publish/1077420201130094835.pdf), 30 เมษายน 2565.
  • สถาบันวัคซีนแห่งชาติ, EPI program : วัคซีนพื้นฐาน (http://nvi.go.th/index.php/vaccine-knowledge/epi-program), 30 เมษายน 2565.
@‌hdcoth line chat