หน้าที่สำคัญของหู


หน้าที่ของหู

กระบวนการได้ยินเสียงเป็นอย่างไร

หากยากเข้าใจวิธีการได้ยินเสียงของมนุษย์เราแนะนำให้ลองหลับตานึกถึงภาพการตีกลอง  เมื่อปีไม้ลงบนหน้ากองจะเกิดการสั่นสะเทือน  เช่นเดียวกับคลื่นเสียงที่มากระทบเยื่อแก้วหู  

แรงสั่นสะเทือนจะถูกส่งผ่านกระดูกค้อน  กระดูกทั่ง  และกระดูกโกลน  ไปสู่หน้าต่างรูปไข่  แรงสั่นสะเทือนนี้จะทำให้เอนโดลิมพ์ในท่อคอเคลียสั่นสะเทือนไปจนสุดปลายท่อ  และยังทำให้เยื่อบุเวสติบูลาร์สั่นสะเทือนเป็นผลให้ของเหลวที่อยู่ในท่อคอเคลียสั่นสะเทือนไปด้วย  

จากนั้นเซลล์ขนจะสั่นไหวตามการสั่นสะเทือน  โดยเซลล์ขนที่อยู่ใกล้กับหน้าต่างรูปไข่จะเปลี่ยนคลื่นสั่นสะเทือนของเสียงสูง  ส่วนเซลล์ขนที่อยู่ใกล้กับปลายท่อจะรับคลื่นสั่นสะเทือนของเสียงต่ำ

แล้วแปลงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปตามเส้นประสาทรับความรู้สึกโดยเส้นประสาทอะคูสติก หรือเส้นประสาทคอเคลียร์ซึ่งรวมกันเป็นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 8  เพื่อวิ่งเข้าสู่สมองส่วนที่เกี่ยวกับการได้ยินบริเวณกลีบขมับ (Temporal  Lobe)  เพื่อแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณเสียง  แปลข้อมูล  และแยกแยะเสียงต่อไป 

กระบวนการได้ยินเสียงเป็นอย่างไร?

ภาพแสดงการได้ยินเสียงเข้าหูชั้นนอกหูชั้นกลางหูชั้นในไปยังสมอง

หน้าที่ในการทรงตัวและรักษาสมดุลของร่างกาย (Statoreceptor)

มนุษย์เป็นสัตว์สองเท้า  ทั้งที่จริงๆแล้วตอนอยู่ในครรภ์แม่มนุษย์ก็ลอยอยู่ในน้ำคร่ำ  เมื่อแรกเกิดก็ยังทรงตัวไม่ได้  ต่อมาจึงเริ่มชันคอ  นั่ง  คลาน  แล้วจึงเริ่มยืน  โดยเมื่อคอนศีรษะที่หนักมากไว้ได้จึงค่อยหัดเดินสองเท้า  วิ่ง  ปีนป่าย  มีพฤติกรรมและกิจกรรมหลากหลายตามมา

ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายของเราสามารถทรงตัวอยู่ได้ในสภาวะต่างๆ  ขณะที่เด็กหัดเดิน  เริ่มเรียนรู้การทรงตัวผู้ใหญ่หรือพี่เลี้ยงไม่ควรอุ้มแบบกระเตงให้ผิดธรรมชาติของการทรงตัว  แต่ควรให้เด็กฝึกใช้ร่างกายเพื่อให้คุ้นเคยกับการควบคุมการทรงตัวตามธรรมชาติให้มาก

การทรงตัวหรือสภาวะสมดุลของการทรงตัวต้องอาศัยกลไกของระบบประสาทและอวัยวะหลายชนิดทำงานประสานกัน  การรับรู้และประมวลข้อมูลต่างๆนี้เกิดขึ้นตามสัญชาตญาณโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยอีกทั้งยังต้องมีความสมดุลของพลังประสาทรับรู้จากอวัยวะทรงตัวในหูชั้นในทั้งซ้ายและขวา  ส่วนต่างๆของร่างกายจึงเคลื่อนไหวได้อย่างกลมกลืนเป็นอัตโนมัติ

สมองมีศูนย์รับรู้ข้อมูล (Vestibular Nuclei)  อยู่ในก้านสมองซึ่งจะต้องนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลให้สัมพันธ์กันโดยอาศัยการแปลงสภาวะการเคลื่อนไหวเป็น “กระแสประสาท”  ส่งไปตามระบบประสาทไปสู่สมอง  เมื่อสมองรับรู้สภาวะนั้นๆแล้ว  ร่างกายจึงสามารถทรงตัวอยู่ได้อย่างอัตโนมัติในทุกๆสถานการณ์โดยไม่เซหรือล้ม

เมื่อสมองส่วนก้านสมอง (Brainstem) รับรู้การทรงตัวจากประสาทสัมผัสและอวัยวะต่างๆแล้ว จะส่งต่อการทำงานไปยังสมองรับรู้การทรงตัว เพื่อให้ควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตา แขน ขา และศีรษะให้ประสานงานกัน แล้วส่งไปยังสมองท้ายรับรู้การทรงตัวให้รับรู้การทรงตัวในภาวะต่างๆ เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวและการทรงตัวให้มั่นคงอยู่ได้

คงไม่ผิดหากจะเปรียบการทรงตัวของมนุษย์กับการทรงตัวของรถยนต์ที่มีการควบคุมจากหลายระบบจึงทำให้มนุษย์สามารถขึ้นเขาลงห้วย  นั่งรถหมุน  ขับรถเช่าฉวัดเฉวียน  หรือใช้ร่างกายได้อย่างหลากหลายตามประสบการณ์และการฝึกฝนเป็นพิเศษ  เช่น  การห้อยโหนตีลังกา  ไต่ลวด  มนุษย์แต่ละคนมีความสามารถในการทรงตัวและมีความทนทานต่อสถานการณ์ไม่เท่ากัน  บางคนทรงตัวได้ดีบางคนอาจรู้สึกทนต่อการเคลื่อนไหวเร็วๆไม่ได้  ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้  อาเจียน  เหงื่อแตกจะเป็นลม

หูทำงานประสานกับลูกตาและส่วนต่างๆของร่างกาย

หูชั้นในทำงานประสานกับ “ลูกตา”  ทำให้มีการเคลื่อนไหวของลูกตาไปพร้อมๆกัน  สายตาของเราจึงมีส่วนช่วยสร้างสมดุลของการทรงตัวด้วย  เพื่อให้รู้ตำแหน่งของศีรษะ  ดังนั้นสายตาจึงเป็นหน้าต่างของการทรงตัว  การทรงตัวยังเกี่ยวพันกับอวัยวะรับความรู้สึกสัมผัสอื่นๆ  ได้แก่  ข้อต่อ  กล้ามเนื้อ  คอ  แขนขา  ที่เคลื่อนไหวไปตามศีรษะและลำตัว

 

หน้าที่ในการทรงตัวและรักษาสมดุลของร่างกาย

สัญญาณไฟฟ้าถูกส่งไปยังศูนย์รับรู้ที่ก้านสมอง ศูนย์ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตา และศูนย์ควบคุมการทรงตัวของกล้ามเนื้อ แขนขาและข้อต่อ อย่างอัตโนมัติ


บทความแนะนำ


ที่มาของข้อมูล

ขยาย

ปิด

@‌hdcoth line chat