ตรวจไวรัสตับอักเสบบี การตรวจหาเชื้อร้ายที่ทำลายสุขภาพตับ

โรคตับอักเสบบี (Chronic Viral Hepatitis B) เป็นโรคร้ายที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จนทำให้เซลล์ตับเกิดการอักเสบ และก่อเป็นอาการเจ็บป่วยหลายอย่าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร อ่อนเพลียง่าย หากไม่รีบรักษาตั้งแต่ในระยะแรกๆ ก็มีความเสี่ยงที่ตับจะเกิดพังผืด หรือก่อเกิดเป็นโรคตับแข็ง หรือโรคมะเร็งตับได้

ตรวจไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?

เชื้อไวรัสตับอักเสบบียังสามารถส่งต่อเชื้อถึงกันได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การใช้อุปกรณ์เจาะหู อุปกรณ์สัก หรืออุปกรณ์เข็มฉีดยา เข็มสำหรับฝังเข็มทางการแพทย์ที่ไม่สะอาด และยังส่งต่อเชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้อีก

อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถยับยั้งได้ผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งมีให้บริการอยู่ทั่วไปในทุกสถานพยาบาล แต่ถึงจะรับวัคซีนไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่ทุกคนจะยังสามารถรับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเข้าร่างกายได้อยู่โดยที่ไม่รู้ตัว

และยังมีโอกาสถึง 5-10% ที่ร่างกายของเราจะไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้ออกไปจากร่างกายจนหมดได้ และทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ ตามมาหลังจากรับเชื้อ และทำให้เรากลายเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบีไปสู่ผู้อื่นได้

หากรู้ว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงรับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจึงเป็นกระบวนการที่จำเป็น เพื่อให้คุณได้แน่ใจว่าร่างกายของตนเองยังไม่มีเชื้อชนิดนี้อยู่ในร่างกาย

แล้วการตรวจเชื้อไวรัสบีเป็นอย่างไร มีกี่วิธี ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจอย่างไรบ้าง HDmall.co.th ขอคลายความสงสัยให้กับคุณ ผ่านบทความนี้

การตรวจไวรัสตับอักเสบบี คือ การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย เพื่อวินิจฉัยความเสี่ยงในการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีทั้งแบบธรรมดาและแบบเรื้อรัง รวมถึงเป็นการตรวจเพื่อดูภูมิคุ้มกันร่างกายที่ต่อต้านเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วย

ตรวจไวรัสตับอักเสบบีมีกี่แบบ?

ปัจจุบันแนวทางการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีใช้วิธีการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดเป็นหลัก แต่จะมีแนวทางการตรวจเพื่ออ่านผลแตกต่างกันไปตามแต่จุดมุ่งหมายในการตรวจ ซึ่งแบ่งได้หลักๆ 5 รูปแบบ ได้แก่

  1. การตรวจ HBsAg หรือ Hepatitis B surface Antigen เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาสารโปรตีนจากเปลือกของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากผลตรวจเป็นบวก หรือ Positive ก็แสดงว่า มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกาย และจัดเป็นผู้ที่ติดเชื้อ
  2. การตรวจ HBsAb หรือ Hepatitis B surface Antibody เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันร่างกายที่ต่อต้านเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากผลตรวจเป็นบวก หรือ Positive ก็แสดงว่า ผู้เข้าตรวจมีภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจได้รับมาจากการฉีดวัคซีน หรือเคยติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มาก่อนจนร่างกายมีการตอบสนองจนเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง
  3. การตรวจ anti-HBs หรือ (Hepatitis B surface Antibody) เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันร่างกายที่ต่อต้านส่วนเปลือก หรือ Surface ของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี นิยมตรวจในผู้ที่เคยฉีดวัคซีนต้านเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อนแล้ว รวมถึงผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อนจนมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น แต่รักษาหายดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยากต้องการตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาจากการติดเชื้อชนิดนี้
  4. การตรวจ anti-HBc หรือ HBcAb Hepatitis B core antibody เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันร่างกายที่สร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านส่วนแกน หรือ Core ของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี นิยมตรวจเพื่อประเมินการฟื้นตัวของร่างกายผู้ป่วยภายหลังจากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และแพทย์ยังสามารถใช้การตรวจนี้แยกระหว่างกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทั่วไปกับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังได้อีกด้วย
  5. การตรวจ HBeAg หรือ Hepatitis B e antigen เป็นการตรวจเลือดในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีไปแล้ว โดยเป็นการตรวจดูสารโปรตีนที่อยู่ในเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งสามารถบอกถึงประสิทธิภาพการฟักตัวของเชื้อไวรัส เพื่อให้แพทย์ประเมินความรุนแรงของรอยโรคในผู้ป่วยรายนั้นๆ และประเมินโอกาสที่จะส่งต่อเชื้อไปยังผู้อื่นได้

ใครควรตรวจไวรัสตับอักเสบบี?

ผู้ที่ตกเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อชนิดนี้ ได้แก่

  • ทารกที่มีมารดาเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • ผู้ที่เคยผ่านการใช้อุปกรณ์เจาะหู อุปกรณ์สัก เข็มฉีดยา เข็มสำหรับฝังเข็ม และรู้สึกไม่มั่นใจในความสะอาดของอุปกรณ์ จนรู้สึกกังวลว่าอาจได้รับเชื้อนี้จากผู้ที่ใช้อุปกรณ์ร่วมกัน
  • ผู้ที่เคยผ่านการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เช่น แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด
  • ผู้ที่เคยผ่านการใช้สารเสพติดผ่านเข็มฉีดยา และได้ใช้เข็มนั้นร่วมกับผู้อื่นที่มีโอกาสเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วย
  • ผู้ที่ปฏิบัติงานในแผนกที่ต้องมีการสัมผัสเลือด น้ำเหลือง หรือบาดแผลจากผู้อื่นเป็นประจำ เช่น พยาบาล แพทย์ เจ้าหน้าที่กู้ภัย
  • ผู้ที่เพิ่งคลุกคลีอยู่กับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

การเตรียมตัวก่อนตรวจไวรัสตับอักเสบบี

ก่อนตรวจไวรัสตับอักเสบบี ผู้เข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆ เป็นพิเศษ แต่หากมีโรคประจำตัวและยาประจำตัวให้แจ้งข้อมูลในส่วนนี้ในทางแพทย์ทราบเสียก่อน เพราะอาจต้องงดยาบางชนิดล่วงหน้าก่อนตรวจเลือด

ขั้นตอนการตรวจไวรัสตับอักเสบบี

การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะเป็นการเจาะเลือดที่แทบไม่ต่างจากการเจาะเลือดเพื่อตรวจสุขภาพทั่วไป โดยขั้นตอนหลักๆ อาจมีดังนี้

  1. เจ้าหน้าที่อาจให้ผู้เข้ารับบริการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และวัดความดัน
  2. จากนั้นเจาะเก็บตัวอย่างเลือดเหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไป
  3. เจ้าหน้าที่นำตัวอย่างเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นรอฟังผลเลือดกับแพทย์

ตรวจไวรัสตับอักเสบบีกี่วันรู้ผล?

ระยะเวลารอผลตรวจไวรัสตับอักเสบบีจะแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล ในบางแห่งอาจใช้เวลาวิเคราะห์ผลตรวจเลือดเพียงประมาณ 30 นาทีเท่านั้น บางแห่งต้องรอประมาณ 2-3 วัน ซึ่งผู้เข้ารับบริการจะต้องเดินทางกลับมาฟังผลตรวจเลือดใหม่ในภายหลัง

การดูแลตัวเองหลังตรวจไวรัสตับอักเสบบี

ในกรณีที่ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แพทย์มักแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการตรวจเช็กการทำงานของตับ (Liver Function Test) เพิ่มเติมเพื่อดูความเสียหายของตับ ณ ปัจจุบันว่า ยังคงเหลือประสิทธิภาพมากน้อยอยู่เท่าใด และจะจัดยาทำลายเชื้อไวรัสพร้อมคำแนะนำในการดูแลตนเองเพิ่มเติมหลังจากนี้ให้กับผู้เข้ารับบริการ

หลังจากนั้นแพทย์แนะนัดหมายให้ผู้เข้ารับบริการที่ตรวจพบเชื้อกลับมาตรวจไวรัสตับอักเสบบีซ้ำอีกครั้ง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพและตรวจดูปริมาณเชื้อไวรัสหลังจากลองรับการรักษามาระยะหนึ่งแล้ว

ส่วนผู้ที่ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ ควรดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงและดูแลสุขอนามัยร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ โดยคำแนะนำสำหรับการป้องกันโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่

  • ควรฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบีให้ครบ โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิด
  • ดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อย งดกินยาและวิตามินเสริมที่ไม่จำเป็น เพื่อให้สุขภาพตับยังแข็งแรง ไม่ทำงานหนัก หรือได้รับสารพิษมากเกินไป
  • งดการใช้ภาชนะข้าวของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน มีดโกน
  • มีเพศสัมพันธ์โดยการสวมถุงยางอนามัยเสมอ และงดการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าหักโหมจนเกินไป
  • หมั่นตรวจสุขภาพทุกปี

ฉีดวัคซีนตับอักเสบบีแล้ว ต้องตรวจไวรัสตับอักเสบบีไหม?

ประสิทธิภาพจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีสามารถป้องกันโอกาสติดเชื้อได้สูงถึง 95% แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วบางท่านที่ภูมิต้านทานไม่ได้เพิ่มขึ้นจากการฉีดวัคซีน และยังจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้อยู่

หลังจากฉีดวัคซีนตับอักเสบบีครบแล้ว เพื่อความมั่นใจในระดับภูมิคุ้มกัน ผู้เข้ารับบริการที่รู้สึกกังวลใจ หรือได้ไปคลุกคลีกับผู้ที่เป็นพาหะ จนเกิดเป็นความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง ควรลองตรวจไวรัสตับอักเสบบีดูสักครั้งเพื่อเช็กระดับภูมิคุ้มกันร่างกายของตนเอง

อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้ไม่ได้เป็นการตรวจเชิงบังคับ หากผู้เข้ารับบริการที่ฉีดวัคซีนครบแล้วยังรู้สึกไม่มั่นใจในภูมิคุ้มกันของตนเอง ก็สามารถลองปรึกษาแพทย์ได้ว่า ควรตรวจไวรัสตับอักเสบบีเพิ่มเติมอีกหลังฉีดวัคซีนหรือไม่

หลายคนอาจมองว่า โรคไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่ไกลตัว ดูไม่ได้จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังมากขนาดนั้น แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า โรคนี้เป็นที่ติดต่อหากันได้ง่ายอีกโรคหนึ่ง และเราก็ไม่อาจทราบได้ว่า ใครที่อยู่รอบตัวเราบ้างที่เป็นพาหะของโรคนี้ บางทีโรคไวรัสตับอักเสบบีอาจอยู่ใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด

เราทุกคนจึงต้องไม่ลืมการฉีดวัคซีนป้องเชื้อไวรัสตับอักเสบบีให้ครบ 3 เข็ม ร่วมกับดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จนกลายเป็นพาหะ และส่งต่อเชื้อร้ายนี้ไปสู่ผู้อื่นได้อีก

Scroll to Top