ตรวจเบาหวาน เป็นอย่างไร? รู้ลึกทุกขั้นตอน-วิธีเตรียมตัว

ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากพันธุกรรมแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเสี่ยงๆ คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัวจึงไม่ได้รับการรักษาและควบคุมอาการอย่างถูกต้อง  บางรายกว่าจะรู้ตัวก็อาจอาการหนักแล้ว หรือมีภาวะแทรกซ้อน

ดังนั้น การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลตนเองได้แต่เนิ่นๆ

สารบัญ

รู้จักโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป เพราะมีความผิดปกติเกี่ยวกับอินซูลิน โดยอาจเกิดจากตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ หรือร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินเท่าที่ควร ผู้ป่วยจะต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไปตลอดด้วยการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ งดอาหารที่มีไขมันและแป้งสูงเกินไป หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ชนิดของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ เบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดที่ 2 และเบาหวานขณะตั้งครรภ์

โรคเบาหวานชนิดที่ 1

มักพบในเด็กและในผู้ใหญ่อายุน้อย สาเหตุเกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายซึ่งเป็นผลมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมจึงมักพบผู้ป่วยในครอบครัวเดียวกัน โรคเบาหวานชนิดนี้ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินเท่านั้น

โรคเบาหวานชนิดที่ 2

พบได้มากกว่าเบาหวานชนิดอื่นๆ ในอดีตโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักพบได้ในผู้ใหญ่ แต่ปัจจุบันพบมากขึ้นในเด็กและวัยรุ่น มักเกิดร่วมกับโรคอ้วน หรือภาวะโภชนาการเกิน เบาหวานชนิดนี้รักษาได้ด้วยยารับประทาน แต่บางรายอาจต้องใช้ยาฉีดอินซูลินร่วมด้วย

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

โรคเบาหวานชนิดนี้เกิดขึ้นในหญิงบางรายที่ตั้งครรภ์และมักหายไปได้เองหลังจากคลอด แต่ก็มีบางรายที่พัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภายหลัง นอกจากนี้ยังมีกรณีที่พบว่า ไม่ใช่เบาหวานขณะตั้งครรภ์แต่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2

ใครบ้างที่ควรตรวจเบาหวาน 

การตรวจคัดกรองเบาหวานนั้นมีประโยชน์เพราะจะช่วยให้พบโรคได้เร็ว ทำให้แพทย์วางแผนการรักษาร่วมกับผู้ป่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนในอนาคตได้ดี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนในกลุ่มต่อไปนี้เข้ารับการตรวจเบาหวาน

ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวาน

  • หิวบ่อย กินจุ แต่น้ำหนักลดลง
  • กระหายน้ำบ่อยๆ
  • ปัสสาวะมากและบ่อย
  • คันตามผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ
  • อ่อนเพลีย
  • ตาพร่ามัว
  • ติดเชื้อบ่อยๆ
  • เป็นแผลแล้วรักษายาก

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดเบาหวาน

  • มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป
  • อายุ 19-44 ปี มีน้ำหนักเกิน หรืออ้วน และมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานอื่นๆ อย่างน้อย 1 ปัจจัย
  • เด็กอายุ 10-18 ปี ที่มีน้ำหนักเกิน หรืออ้วน และมีปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำหนักแรกคลอดน้อย มารดาเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือปัจจัยเสี่ยงข้ออื่นๆ
  • มีพ่อแม่ หรือพี่น้องเป็นเบาหวาน
  • หญิงที่กำลังตั้งครรภ์
  • หญิงที่เคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มาก่อน
  • ผู้ที่อ้วนมากโดยเฉพาะอ้วนลงพุง
  • ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ
  • มีลักษณะที่บ่งบอกถึงภาวะดื้ออินซูลิน

ตรวจเบาหวานทำได้กี่วิธี มีการเตรียมตัวอย่างไร

ในการตรวจเบาหวานและภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes) แพทย์จะตรวจจากค่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting plasma glucose: FPG) หรือค่าระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) ในบางกรณีอาจมีการตรวจค่าระดับน้ำตาลกลูโคสที่เวลาใดเวลาหนึ่ง (Random plasma glucose: RPG) ร่วมด้วย

การตรวจเบาหวานแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FPG)

ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร หรือค่า FPG จะช่วยบอกระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด ณ เวลาที่ทำการเจาะเลือด ผู้ที่เข้ารับการตรวจนี้จะต้องงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อให้ผลตรวจมีความแม่นยำ ผลจะแม่นยำที่สุดเมื่ออดอาหารตอนกลางคืนและตรวจเลือดในตอนเช้า แต่หากกระหายก็สามารถจิบน้ำเปล่าได้เล็กน้อย

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C)

ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด หรือค่า HbA1C จะช่วยบอกระดับน้ำตาลกลูโคสเฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ค่า HbA1C อาจเรียกอีกอย่างว่า ฮีโมโกลบินเอวันซี (Hemoglobin A1C)

ในการตรวจนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร แต่หากต้องใช้ค่านี้สำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวาน แพทย์จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อายุ และดูว่า มีภาวะโลหิตจางหรือไม่ เพราะค่า HbA1C จะไม่แม่นยำในผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง

ค่า HbA1C ที่ตรวจได้จะแสดงผลเป็นร้อยละ (%) เช่น HbA1C = 7% เป็นต้น ยิ่งค่า % สูง ยิ่งหมายถึงมีค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูง

การตรวจระดับน้ำตาลที่เวลาใดเวลาหนึ่ง (RPG)

แพทย์อาจพิจารณาตรวจค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่เวลาใดเวลาหนึ่ง หรือค่า RPG หากผู้ป่วยมีอาการของโรคเบาหวานและไม่อยากรอเวลาการงดอาหาร เพราะการตรวจนี้ไม่ต้องอดอาหาร และสามารถตรวจได้ทุกเวลาที่ต้องการ

การทดสอบด้วยน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม (Glucose challenge test)

หากคุณกำลังตั้งครรภ์ แพทย์อาจใช้การทดสอบนี้เป็นอันดับแรกในการตรวจเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยจะให้ดื่มสารละลายกลูโคสเข้มข้น 50 กรัม และเจาะเลือดหลังจากนั้น 1 ชั่วโมง การทดสอบนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร หากผลการตรวจพบว่า ระดับน้ำตาลกลูโคสสูงอยู่ที่ 135-140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือสูงกว่านั้น จะต้องได้รับการตรวจอีก 1 อย่างเพื่อยืนยัน คือ การทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคสซึ่งจะต้องงดอาหารมาก่อน

การทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส (Oral glucose tolerance test; OGTT)

การทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคสจะทำในผู้ที่อดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง โดยแพทย์จะทำการเจาะเลือดครั้งที่ 1 เมื่อคุณมาถึงโรงพยาบาล จากนั้นจะให้ดื่มสารละลายกลูโคสเข้มข้น 100 กรัม และทำการเจาะเลือดซ้ำในชั่วโมงที่ 1, 2 และ 3 หลังจากดื่มสารละลายนี้

หากพบระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงอย่างน้อย 2 ครั้งจากการเจาะเลือดทั้งหมด ได้แก่ หลังอดอาหาร 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง หรือ 3 ชั่วโมงหลังดื่มสารละลาย หมายความว่า คุณเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

นอกจากนี้แพทย์ยังสามารถใช้การทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคสเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวานในคนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ได้ด้วย การทดสอบนี้จะช่วยให้ตรวจพบโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวานได้ดีกว่าการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร อย่างไรก็ตาม การทดสอบนี้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าและทำได้ยากกว่า

ระดับน้ำตาลในเลือดเท่าไรจึงจะบอกว่า เป็นโรคเบาหวาน หรือภาวะก่อนเป็นเบาหวาน

การตรวจเบาหวานแต่ละวิธีจะมีเกณฑ์ในการตัดสินว่า เป็นโรคเบาหวาน หรือภาวะก่อนเป็นเบาหวานต่างกันไป โดยทั่วไปหากใช้การตรวจชนิดเดียวเพื่อวินิจฉัย จะต้องมีการตรวจซ้ำในวันที่ 2 เพื่อยืนยันผลการตรวจด้วย หรือแพทย์อาจพิจารณาเลือกการตรวจเบาหวานด้วย 2 วิธีควบคู่กันก็ได้

เกณฑ์การตรวจเบาหวานสำหรับผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์

การวินิจฉัย

ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) (%)

ค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร (FPG)

การทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส (OGTT)

ค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่เวลาใดๆ (RPG)

ปกติ ต่ำกว่า 5.7 น้อยกว่า หรือเท่ากับ 99 น้อยกว่า หรือเท่ากับ 139
เป็นภาวะก่อนเป็นเบาหวาน 5.7-6.4 100-125 140-199
เป็นโรคเบาหวาน ตั้งแต่ 6.5 ขึ้นไป ตั้งแต่ 126 ขึ้นไป ตั้งแต่ 200 ขึ้นไป ตั้งแต่ 200 ขึ้นไป

*ค่า FPG, OGTT และ RPG มีหน่วยเป็นมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

จะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นโรคเบาหวานชนิดใด

นอกจากโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 แล้ว ยังมีโรคเบาหวานอีกชนิดที่พบน้อยมากในเด็กคือ โรคเบาหวานชนิดโมโนเจนิก (Monogenic diabetes) ซึ่งมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อ หรือแม่ หรืออาจเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนเฉพาะบุคคลก็ได้ ซึ่งอาจทำให้สับสนกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้

แม้ว่าการทดสอบต่างๆ ข้างต้นจะช่วยยืนยันว่า เป็นโรคเบาหวาน แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า คุณเป็นโรคเบาหวานชนิดใด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพราะการรักษาโรคเบาหวานจะขึ้นกับชนิดของโรคเบาหวานที่เป็น

การตรวจหาว่า เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือไม่ แพทย์จะตรวจหาสารออโต้แอนติบอดี้ (Autoantibodies) ในร่างกาย สารนี้เป็นสารภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายเซลล์ปกติของร่างกาย (ภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง) เนื่องจากมีสารออโต้แอนติบอดี้หลายชนิดที่มีความจำเพาะกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 แต่ไม่จำเพาะกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และชนิดโมโนเจนิก

กรณีที่คุณเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คุณควรได้รับการตรวจเบาหวานซ้ำใน 6-12 สัปดาห์หลังจากคลอดลูกแล้ว เพื่อดูว่า เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือไม่

Scroll to Top