การเริ่มต้นของรอบเดือนของผู้หญิงนั้น เกิดจากการผลิตและตกของไข่จากรังไข่ที่สมบูรณ์ โดยฮอร์โมนที่เพียงพอจากรังไข่และต่อมใต้สมองจะช่วยพัฒนาเยื่อบุโพรงมดลูกให้หนาตัว พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน อันเกิดจากการปฏิสนธิของไข่ที่ตกจากฝ่ายหญิงกับอสุจิจากฝ่ายชาย แต่ถ้ารอบเดือนใดไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวก็จะหลุดลอดออกมาเป็นประจำเดือน
ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อวงจรเหล่านี้เอง จะเป็นสาเหตุที่ทำให้รอบเดือนมาผิดปกติหรือน้อยกว่าปกติได้
สารบัญ
แค่ไหนที่เรียกว่าประจำเดือนมาน้อย?
ตามคำจำกัดความของสหพันธ์สูตินรีเวชแพทย์ระหว่างชาติ ให้คำจัดความเกี่ยวกับประจำเดือนของผู้หญิงดังนี้
ความถี่ของรอบประจำเดือน
- ถี่ น้อยกว่า 24 วัน
- ปกติ 24-38 วัน
- ห่าง มากกว่า 38 วัน
ระยะเวลาของรอบประจำเดือน
- นาน มากกว่า 8 วัน
- ปกติ 4-8 วัน
- สั้น น้อยกว่า 4 วัน
ภาวะผิดปกติของระยะเวลาของรอบประจำเดือนสั้นกว่า 4 วัน นั่นคือประจำเดือนมาน้อยกว่าปกตินั่นเอง
ตั้งครรภ์หรือไม่? ข้อควรพิจารณาก่อนหาสาเหตุที่ประจำเดือนมาน้อย
การที่ประจำเดือนมาน้อย เราต้องทำการแยกจากภาวะเลือดออกผิดปกติจากการตั้งครรภ์ก่อน โดยดูจากอาการที่สุ่มเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เช่น อาการแพ้ท้อง รวมถึงประสิทธิภาพของการคุมกำเนิด หรืออาจทำการตรวจปัสสาวะดูการตั้งครรภ์ด้วยตนเองก่อนที่บ้าน
ถ้าไม่แน่ใจ สามารถไปทำการตรวจโดยการเจาะเลือดดูการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีการตั้งครรภ์ จึงค่อยหาสาเหตุอื่นๆ ที่สามารถทำให้ประจำเดือนมาน้อยได้
9 ปัจจัยที่ทำให้ประจำเดือนมาน้อย
ปัจจัยที่ทำให้ประจำเดือนมาน้อยมีหลายประการ ทั้งมาจากพฤติกรรม โรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงอุบัติเหตุ ได้แก่
1. น้ำหนัก
ความผันผวนของน้ำหนักมีผลกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนซึ่งมีผลกระทบกับปริมาณของประจำเดือนสามารถส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อยลง
การที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้น ปริมาณไขมันในร่างกายก็เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อระดับฮอร์โมน และเมื่อน้ำหนักลดลง ร่างกายได้รับปริมาณแคลอรีที่จำกัด ก็ส่งผลให้เกิดความเครียด ทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุลได้เช่นกัน
2. ความเครียด
ความเครียดก็ส่งผลกระทบทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประจำเดือนมาน้อยได้
3. ฮอร์โมนไทรอยด์
ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ที่ทำงานผิดปกติ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็สามารถส่งผลต่อภาวะสมดุลของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองและรังไข่ ซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณของประจำเดือนในแต่ละรอบได้
4. วิธีการคุมกำเนิด
การรับประทานยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงคุมกำเนิดชนิดมีฮอร์โมน การฝังยาคุม รวมทั้งการฉีดยาคุม อาจจะจะส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อย มีเลือดสีดำออกเป็นบางจุด หรือไม่มาเลย ซึ่งเป็นภาวะปกติของผู้หญิงที่ใช้ยาดังกล่าวอยู่
5. โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบหรือ (PCOS)
โรคนี้มีสาเหตุจากร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศชายออกมาปริมาณมาก และระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ทำให้ประจำเดือนมาน้อยกว่าปกติหรือขาดประจำเดือนได้
6. ภาวะวัยทอง
ระยะเริ่มเข้าสู่ภาวะวัยทองเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนจากรังไข่เริ่มผลิตน้อยลง และกำลังจะหยุดผลิตเมื่อเข้าสู่วัยทอง ส่งผลให้ปริมาณประจำเดือนน้อยลง หรือระยะห่างของรอบประจำเดือนนานขึ้นได้
7. ปากมดลูกตีบ
ปากมดลูกตีบ เป็นโรคที่พบได้ยาก โดยอาจเกิดจากการผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ หรือตีบเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง ส่งผลให้เลือดค้างอยู่ในมดลูก และไหลออกมาได้น้อยลง
8. ผังผืดในโพรงมดลูก
โดยปกติผู้หญิงที่เคยขูดมดลูกจะไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ในผู้หญิงบางราย ระหว่างการขูดมดลูกอาจสร้างแผลเป็นที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกได้ ซึ่งเรียกว่าโรคแอสเชอร์แมน (Asherman)
ดังนั้นหากหลังขูดมดลูกแล้วประจำเดือนมาน้อย ควรไปพบสูตินรีแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษา
9. เสียเลือดมากจากการคลอดลูก
สาเหตุที่พบได้น้อยอีกสาเหตุหนึ่ง คือการสูญเสียเลือดปริมาณมากหลังจากการคลอดบุตร การสูญเสียเลือดส่งผลกับปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงต่อมใต้สมอง ทำให้เกิดการฝ่อ และระดับฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองก็จะผิดปกติไป ก่อให้เกิดโรคชีแฮน (Sheehan’s syndrome) ซึ่งส่งผลกระทบกับปริมาณประจำเดือน ซึ่งอาจทำให้ประจำเดือนมาน้อยผิดปกติได้
ดังนั้นหากคุณมีรอบประจำเดือนที่ผิดปกติหรือปริมาณประจำเดือนที่เปลี่ยนแปลง ระยะเวลาที่ประจำเดือนมาน้อยกว่าเกณฑ์ข้างต้น ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
ภาวะดังกล่าวไม่แนะนำให้ซื้อยาหรือทำการรักษาด้วยตนเอง
เขียนบทความโดย นพ. ปัญญาวุฒิ ลิ้มสุขวัฒน์