โรคเบาหวานจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มโรค NCDs (Non-communicable diseases) ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ติดต่อและเกิดจากพฤติกรรมของเราเอง หลายคนเรียก “เบาหวาน” กันจนติดปาก แต่เบาหวานที่ว่านั้นคือเบาหวานไหน? เบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2
แล้วเบาหวานทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันอย่างไร มีอาการเตือนตั้งแต่ระยะแรกไหม บทความนี้จะชวนมาแยกความต่างของเบาหวาน พร้อมแจงอาการเตือนโรคเบาหวานที่ควรเฝ้าระวังกัน
สารบัญ
โรคเบาหวาน คืออะไร
โรคเบาหวาน (Diabetes) เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง
เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ได้เลย หรือผลิตออกมาไม่เพียงพอ ร่วมกับมีภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance) ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดไม่ถูกดึงไปใช้เป็นพลังงานตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้น้ำตาลในเลือดสะสมสูงเกินค่าปกติ
โดยค่าน้ำตาลในเลือดของคนทั่วไปจะอยู่ต่ำกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานจะอยู่ประมาณ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรหรือสูงกว่านั้น
ปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่เพียงก่อให้เกิดโรคเบาหวาน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาด้วย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นประสาทถูกทำลาย เบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต เบาหวานที่เท้า ปัญหาผิวหนัง หรือมีปัญหาการได้ยิน
ภาพจำของใครหลายคนอาจเป็นคนมีอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานเสียส่วนใหญ่ และมักลงเอยด้วยการตัดอวัยวะส่วนใดส่วนนึง แต่จริง ๆ แล้วโรคนี้เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย และไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเบาหวานแล้วจะถูกตัดอวัยวะ
ยิ่งถ้าควบคุมการรับประทานอาหาร ใช้ยาควบคุมน้ำตาลในเลือด และดูแลตัวเองตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือต้องตัดอวัยวะทิ้งก็ลดลง คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยก็จะดีในระยะยาวด้วย
เบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ต่างกันอย่างไร
โรคเบาหวานนั้นแบ่งออกเป็นหลายชนิดด้วยกัน แต่ที่จะยกมาพูดกันในวันนี้จะเป็น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เป็นชนิดหลักและพบได้บ่อย โดยเบาหวานทั้ง 2 ชนิดนี้ จะมีความต่างในแง่สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 diabetes)
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 พบได้น้อย ประมาณ 5-10% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งหมด จัดเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Disease) ประเภทหนึ่ง
สาเหตุหลักเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันได้ทำลายเซลล์ที่สร้างฮอร์โมนอินซูลินในตับอ่อนโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินจะช่วยแปลงน้ำตาลให้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ ทำให้น้ำตาลถูกสะสมอยู่ในเลือด
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ส่วนใหญ่จะพบในเด็กและวัยรุ่น ในช่วงอายุ 4-7 ปี และ 10-14 ปี แต่สามารถเกิดได้ในทุกช่วงอายุ โดยปัจจัยร่วมที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้แก่
- มีคนในครอบครัวเคยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 มาก่อน
- การติดเชื้อไวรัสบางชนิด
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes)
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุดถึง 90-95% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งหมด
สาเหตุหลักเกิดจากตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ร่วมกับมีภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินทำงานได้ไม่ดี น้ำตาลจากอาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน จึงส่งผลให้น้ำตาลสะสมอยู่ในเลือด
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนใหญ่จะพบในวัยผู้ใหญ่วัยกลางคน อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ช่วงวัยอื่นก็พบได้แต่จะน้อยกว่า โดยปัจจัยร่วมที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่
- คนในครอบครัวเคยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มาก่อน
- คนที่เคยมีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดทารกน้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 4 กิโลกรัม
- คนที่มีภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes) ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS)
- น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ เป็นโรคอ้วน หรือมีไขมันสะสมในช่องท้องมาก
- ขาดการออกกำลังกาย หรือออกกำลังน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์เป็นประจำ โดยเฉพาะอาหารน้ำตาลสูง
- ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
- ปริมาณฮอร์โมนไม่สมดุล
- การใช้ยาบางชนิด
จะเห็นได้ว่าเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังได้เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงความผิดปกติในการผลิตฮอร์โมนอินซูลิน และปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรค
โดยชนิดที่ 1 ร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ มักเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์และสภาพแวดล้อมภายนอก
ส่วนชนิดที่ 2 ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอ ร่วมกับมีภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนได้ไม่ดีพอ มักเป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีมาเป็นเวลาหลายปี ร่วมกับมีความเสี่ยงจากปัจจัยด้านกรรมพันธุ์นั่นเอง
สัญญาณเตือนเบาหวานที่ควรระวัง
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มักเกิดอาการเฉียบพลันและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภายในไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน
ส่วนผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มักไม่พบอาการแสดงออกมา แต่จะค่อย ๆ พัฒนาอาการอย่างช้า ๆ จนบางคนอาจไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นเบาหวานกระทั่งพบภาวะแทรกซ้อนตามมา
โดยทั่วไปเบาหวานทั้ง 2 ชนิด ก่อให้เกิดอาการที่คล้ายกัน ดังนี้
- กระหายน้ำมาก ดื่มน้ำบ่อย ปากแห้ง
- หิวบ่อยหรืออยากอาหารมากกว่าปกติ
- ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ ปัสสาวะในปริมาณมาก
- น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- รู้สึกเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลีย
- รู้สึกหงุดหงิด หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
- สายตาพร่ามัว
- แผลหายช้า
- ชาหรือเหมือนมีเข็มทิ่มปลายมือหรือเท้า
- เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือช่องปาก
- ในเด็กอาจปัสสาวะรดที่นอนจากที่ปกติไม่เคยทำ
- ในผู้ชายจะพบปัญหาฮอร์โมนเพศและสมรรถทางเพศ
- ในผู้หญิงมีปัญหาติดเชื้อในช่องคลอด คันผิดปกติ ตกขาวปริมาณมาก
หากพบสัญญาณอาการเบาหวานตามที่ยกมา ก็ควรรีบไปตรวจคัดกรองโรคเบาหวานโดยเร็ว
ยิ่งได้รับการรักษาที่เหมาะสม ควบคู่กับการดูแลตัวเอง ทั้งการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารอย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุมน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น ความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ไม่ว่าจะโรคหัวใจ เบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต ก็จะลดน้อยลง
เบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 อาจมีสาเหตุการเกิดที่ต่างกัน แต่ก็เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่มีใครอยากจะเป็น แม้เบาหวานชนิดที่ 1 จะยากต่อการป้องกัน แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมมันได้
และหากเราใส่ใจดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญคือ ตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
ไม่ได้ออกกำลังกายเลยใช่ไหม เพิ่งทานของหวานแสนอร่อยมาด้วยหรือเปล่า? ก่อนโรคเบาหวานจะถามหา เตรียมหาแพ็กเกจตรวจคัดกรองเบาหวานไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า จองกับ HDmall.co.th ได้โปรดี ๆ แถมมีส่วนลดเพิ่มทุกครั้ง คลิกที่นี่เลย!