เสมหะปนเลือด (Blood-Tinged Sputum)

เสมหะ (Sputum) หมายถึง ส่วนผสมของน้ำลาย และเมือกที่ขย้อนออกมาเมื่อคุณไอ ในบางครั้งอาจพบว่าก้อนเสมหะนั้นมีเลือดปนอยู่ด้วยซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเลือดดังกล่าว อาจมาจากอวัยวะแห่งหนึ่งในทางเดินหายใจในร่างกายของคุณ ได้แก่ ขั้วปอด หรือแขนงปอด ปอด ช่องปาก ลำคอ จมูก

ส่วนมากแล้ว เสมหะปนเลือดสามารถพบได้บ่อย และไม่ได้มาจากสาเหตุร้ายแรงอะไร แต่ก็อาจจะมีบางกรณีที่พบเสมหะมีเลือดปน ร่วมกับอาการไอหรืออาเจียนเป็นเลือด ในกรณีนี้คุณควรรีบไปพบแพทย์ทันที

สาเหตุของเสมหะปนเลือด

1. สาเหตุที่พบบ่อย 

  • การไออย่างหนักเป็นระยะเวลานาน
  • การติดเชื้อภายในช่องอก
  • เลือดกำเดาไหล
  • โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)

2. สาเหตุที่รุนแรง และพบได้ไม่บ่อยของอาการเสมหะปนเลือด 

  • โรคมะเร็งปอด หรือโรคมะเร็งลำคอ
  • โรคปอดบวม (Pneumonia)
  • โรคปอดบวมน้ำ (Pulmonary Edema) เป็นภาวะที่มีน้ำหรือของเหลวคั่งอยู่ในปอดจนเต็ม
  • การสูดสำลัก (Pulmonary Aspiration) เป็นการสูด หรือหายใจนำสิ่งแปลกปลอมนอกจากอากาศเข้าสู่ปอด
  • โรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism)
  • โรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis)
  • การติดเชื้อบางชนิด เช่น วัณโรค (Tuberculosis)
  • การบาดเจ็บต่อระบบทางเดินหายใจ
  • การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด

การติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่าง หรือการสูดสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าไป เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของเสมหะปนเลือดในวัยเด็ก

หากมีอาการเสมหะปนเลือด ควรเข้าพบแพทย์เมื่อใด

คุณควรเข้าพบแพทย์ทันที หากพบอาการเหล่านี้

  • ไอ หรืออาเจียนออกมาเป็นเลือด แม้จะมีเสมหะน้อยมาก
  • อ่อนแรง
  • เวียนศีรษะ
  • เหงื่อออกทั่วร่างกาย
  • เมื่อยล้า
  • หัวใจเต้นถี่
  • น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
  • หายใจหอบถี่ หรือหายใจลำบาก
  • เจ็บหน้าอก
  • มีเลือดปนในปัสสาวะหรืออุจจาระด้วย

การวินิจฉัยโรคจากอาการเสมหะปนเลือด

เมื่อเข้าพบแพทย์ด้วยอาการเสมหะมีเลือดปน แพทย์จะซักประวัติที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุ เช่น

  • มีอาการเสมหะปนเลือดมานานเท่าไรแล้ว
  • ปริมาณเลือดในเสมหะ
  • ลักษณะของเสมหะ ความเหนียวข้น
  • ไอบ่อยมากแค่ไหนในแต่ละวัน

แพทย์อาจฟังเสียงปอดของคุณขณะหายใจเข้าออก และอาจตรวจหาอาการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ด้วย เช่น หัวใจเต้นถี่ หายใจมีเสียงวี้ด หรือมีเสียงอื่นขณะหายใจ เพื่อให้ได้วินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด

นอกจากนี้ แพทย์อาจตรวจด้วยวิธีถ่ายภาพรังสี หรือการตรวจอื่นๆ ประกอบการวินิจฉัย เช่น

  • การส่งถ่ายเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-Ray)
  • การสแกนเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก (Chest CT Scan) เพื่อจะได้ภาพที่ละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น
  • การส่องกล้องหลอดลม (Bronchoscopy) แพทย์จะสอดกล้องผ่านด้านหลังของลำคอ เข้าสู่คอหอย และหลอดลม เพื่อตรวจว่ามีสิ่งแปลกปลอมอุดตัน หรือมีความผิดปกติอะไรหรือไม่
  • การเจาะตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติต่างๆ รวมถึงตรวจสอบว่าเม็ดเลือดของคุณปกติหรือไม่
  • การตัดตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) แพทย์จะตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อเยื่อจากปอดของคุณ เพื่อส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาความผิดปกติ

การรักษาอาการเสมหะปนเลือด

การรักษาเสมหะมีเลือดปนจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ได้แก่

  • การรับประทานยาฆ่าเชื้อไวรัส เช่น Oseltamivir (Tamiflu) เพื่อลดระยะเวลา หรือความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัส
  • การรับประทานยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อ เช่น โรคปอดบวมจากแบคทีเรีย
  • การรับยาแก้ไอ (Cough Suppressants) เพื่อบรรเทาอาการไอต่อเนื่อง
  • การผ่าตัดเพื่อรักษาเนื้องอก หรือลิ่มเลือดอุดตัน
  • ดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อล้างเสมหะที่คงค้างอยู่

ผู้ป่วยที่ไอ หรืออาเจียนเป็นเลือดปริมาณมาก แพทย์จะรักษาโดยเน้นที่การห้ามเลือดก่อน เพื่อป้องกันการสูดสำลัก ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีวัสดุแปลกปลอมเข้าไปในปอดของคุณ และตามด้วยการรักษาสาเหตุที่ตามมา

แต่บางกรณี การรับประทานยาแก้ไออย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดการอุดกั้นภายในทางเดินหายใจ หรือทำให้เสมหะติดอยู่ในปอดของคุณนานขึ้นกว่าเดิม หรืออาการแย่ลงจากการติดเชื้อ

การป้องกันอาการเสมหะปนเลือด

มีหลายวิธีที่สามารถป้องกันอาการเสมหะปนเลือดได้ เช่น

  • งดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้เกิดการระคายเคือง และการอักเสบภายในระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็งปอด
  • ดูแลรักษาบ้านของคุณให้สะอาด เพื่อลดโอกาสการสูดดมฝุ่นเข้าปอด จนอาจทำให้เกิดการระคายเคือง และทำให้อาการแย่ลง โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มโรคติดเชื้อในปอด และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  • หากเป็นโรคไข้หวัด ให้ดื่มน้ำมากๆ โดยหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น แต่ดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้อง หรือน้ำอุ่นแทน เพื่อให้เสมหะจางลง และช่วยชะล้างเสมหะออก

คุณจะเห็นได้ว่า นอกจากบางอาการเจ็บป่วยที่ทำให้นำไปสู่อาการเสมหะปนเลือด พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ ดื่มน้ำน้อย การไม่รักษาความสะอาดร่างกาย และที่อยู่อาศัย ก็เป็นสาเหตุที่นำไปสู่อาการเสมหะปนเลือดได้

ดังนั้นการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรง และสะอาดอยู่เสมอ จึงเป็นวิธีป้องกันอาการเสมหะปนเลือดได้ และยังรวมไปถึงโรคภัยอื่นๆ ด้วยเช่นกัน


ที่มาของข้อมูล

Scroll to Top