รู้จักการแปลงเพศชายเป็นหญิง

เมื่อมีจิตใจไม่ตรงกับเพศกำเนิด และต้องการเปลี่ยนแปลงร่างกายให้ตรงกับความต้องการของตนเอง การเรียนรู้กระบวนการแปลงเพศอย่างถูกต้อง และปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง คืออะไร?

การแปลงเพศชายเป็นหญิง หรือการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่

  • การผ่าตัดเพื่อตกแต่งอวัยวะเพศชายภายนอกให้มีรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศหญิง
  • การผ่าตัดอวัยวะแสดงเพศอย่างอื่นให้คล้ายผู้หญิงมากที่สุด เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนเสียง กรอลูกกระเดือก หรือการผ่าตัดเสริมหน้าอก

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงสามารถเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว มักเริ่มจากการผ่าตัดอวัยวะแสดงเพศให้คล้ายผู้หญิงก่อน เช่น ผ่าตัดเสริมหน้าอกด้วยถุงเต้านมเทียม แล้วตามด้วยการผ่าตัดตกแต่งอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และตัดกระดูกกล่องเสียง

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงนั้น สามารถทำได้ในผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป หรือในกรณีที่มีอายุ 18-20 ปี จะต้องให้ผู้ปกครองเซ็นเอกสารยินยอมเข้ารับการผ่าตัด

โดยผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง จะต้องผ่านการเตรียมตัวเบื้องต้นก่อน ได้แก่

  • เทคฮอร์โมน และใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง 24 ชั่วโมงต่อวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 ปี
  • เข้าพบจิตแพทย์เพื่อรับการประเมินสภาพจิตใจ อย่างน้อย 2 ท่าน โดยใบรับรองจะต้องมีอายุไม่เกิน 6 เดือน ก่อนวันผ่าตัด
  • ตรวจสุขภาพร่างกายทั่วไป จะต้องไม่มีโรคประจำตัวรุนแรงที่เป็นข้อห้ามในการดมยาสลบ หรือการผ่าตัด
  • เตรียมร่างกายทั่วไป เช่น งดรับประทานยาที่ส่งผลให้เลือดออกง่ายก่อนผ่าตัด 2 สัปดาห์ หรืองดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 4-6 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
  • บริเวณของอัญฑะส่วนล่าง ตำแหน่งที่อยู่เหนือทวารหนัก เป็นส่วนที่จะนำมาใช้เป็นผนังด้านล่างของช่องคลอดหลังแปลงเพศ แต่ส่วนนี้เป็นส่วนที่มีขน ถ้าอยู่ในช่องคลอดจะทำความสะอาดได้ยาก และไม่เป็นธรรมชาติ จึงควรกำจัดขนโดยใช้เลเซอร์ก่อนการแปลงเพศ ประมาณ 3-4 ครั้ง

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง มีกี่วิธี?

เมื่อพูดถึงการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ส่วนใหญ่จะเจาะจงไปที่การผ่าตัดเพื่อตกแต่งอวัยวะเพศชายให้มีรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศหญิง โดยหลังจากที่ผ่านการเตรียมตัวเบื้องต้นแล้ว แพทย์จะนัดหมายวันและเวลาในการเข้ารับการผ่าตัด โดยมีขั้นตอนทั่วไปดังนี้

  • ระงับความรู้สึกด้วยวิธีการดมยาสลบ โดยวิสัญญีแพทย์
  • สร้างช่องคลอดเทียม โดยการกรีดผิวหนังระหว่างถุงอัณฑะและรูทวารหนัก แล้วเลาะโพรงเข้าไปจนใกล้กับเยื่อบุช่องท้อง ความลึกและความกว้างของช่องคลอดเทียมจะแตกต่างกันไปตามสรีระของแต่ละคน โดยทั่วไปในคนเอเชียสามารถสร้างช่องคลอดได้ลึกประมาณ 5-6 นิ้ว
  • ตัดแกนองคชาตออก และเก็บเส้นประสาทรับความรู้สึกทางเพศ เพื่อเตรียมทำปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ หรือที่เรียกว่า “คลิตอริส (Clitoris)”
  • ตัดท่อปัสสาวะเพศชายให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้สามารถปัสสาวะพุ่งลงเหมือนผู้หญิง
  • เลาะเอาอัณฑะออก เก็บผิวหนังที่หุ้มไว้ โดยผิวหนังของอัณฑะและองคชาตจะถูกดันเข้าไปในช่องคลอดที่เลาะไว้เพื่อสร้างเป็นผนังช่องคลอด ถ้าผิวหนังไม่พอ สามารถเอาผิวหนังจากบริเวณขา หรือลำไส้ใหญ่ มาเสริมได้
  • ตกแต่งบริเวณภายนอก ได้แก่ แคมนอก (Major Labia) แคมใน (Minor Labia) ท่อปัสสาวะ และปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ ให้สวยงามเหมือนอวัยวะเพศหญิง
  • แพทย์จะใส่ผ้าก๊อซเข้าไปในช่องคลอดเพื่อป้องกันไม่ให้โพรงตีบแคบ โดยแผลผ่าตัดจะหายภายใน 7-14 วัน และอาจจะต้องนอนพักในโรงพยาบาลประมาณ 7 วัน

ในขั้นตอนการสร้างผนังช่องคลอดเทียมนั้น ยังสามารถแบ่งเป็น 2 เทคนิคหลักๆ ได้แก่ การบุด้วยเนื้อเยื่อชนิดไม่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ และบุด้วยเนื้อเยื่อชนิดมีเยื่อเมือกธรรมชาติ ซึ่งมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน

โดยผู้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงจะต้องปรึกษากับแพทย์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับตนเอง มีรายละเอียดดังนี้

1.การสร้างผนังช่องคลอดเทียม บุด้วยเนื้อเยื่อชนิดไม่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ

ในแต่ละสถานพยาบาลจะเรียกด้วยชื่อที่แตกต่างกัน เช่น เทคนิคการใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ (Scrotal skin graft) หรือเทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต เป็นวิธีมาตรฐานของการแปลงเพศจากชายเป็นหญิง โดยการนำผิวหนังขององคชาตเดิม หรือถุงอัณฑะเดิมมาบุภายในช่องคลอดให้มีความลึกเข้าไป

ข้อดี

  • มีความปลอดภัย เนื่องจากไม่ต้องผ่าตัดเข้าภายในช่องคลอด
  • สามารถนำอวัยวะเดิมของผู้เข้ารับการผ่าตัดมาตกแต่ง และใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด

ข้อจำกัด

  • ต้องใช้เจลหล่อลื่นเพื่อช่วยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
  • ต้องขยายช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการหดตัวของช่องคลอดใหม่ที่สร้างขึ้น
  • ในกรณีที่ผิวหนังองคชาตเดิมไม่สามารถสร้างความลึกได้เพียงพอ แพทย์จะต้องใช้ผิวหนังส่วนอื่นๆ มาเสริม เช่น ผิวหนังบริเวณต้นขาด้านใน

2.การสร้างผนังช่องคลอดเทียม บุด้วยเนื้อเยื่อชนิดมีเยื่อเมือกธรรมชาติ

เป็นการนำเนื้อเยื่อที่สามารถผลิตเมือกซึ่งเป็นสารหล่อลื่นธรรมชาติมาบุภายในช่องคลอด ทำให้ผิวภายในช่องคลอดเสมือนจริงกว่าการบุด้วยเนื้อเยื่อชนิดไม่มีเยื่อเมือกธรมมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องความเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด

การสร้างช่องคลอดเทียม บุเนื้อเยื่อชนิดมีเยื่อเมือกธรรมชาติ ทำได้ 2 วิธี ได้แก่

2.1. บุด้วยด้วยลำไส้ใหญ่ หรือลำไส้เล็ก หรือเรียกว่า “เทคนิคต่อลำไส้”

ข้อดี

  • เนื้อเยื่อสามารถผลิตเมือกได้เองตามธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องใช้เจลหล่อลื่นช่วยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
  • เหมาะสำหรับผู้ที่อวัยวะเพศเดิมมีขนาดเล็ก ทำให้มีเนื้อเยื่อไม่เพียงพอต่อการตกแต่งภายในช่องคลอด
  • การใช้เยื่อเมือกธรรมชาติอย่างลำไส้ใหญ่ จะช่วยให้การตกแต่งภายในช่องคลอดเป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาการตีบตันช่องคลอด ในผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ

ข้อจำกัด

  • มีความเสี่ยงมากกว่าการทำผนังเยื่อบุช่องคลอดด้วยเนื้อเยื่อชนิดไม่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ เพราะต้องผ่าตัดต่อลำไส้ภายในช่องท้อง เช่น เกิดการอักเสบภายในช่องท้อง หรือเกิดการรั่วของรอยต่อลำไส้ซึ่งอาจเกิดการติดเชื้อในช่องท้องรุนแรงได้
  • ผู้ที่เป็นโรคในกลุ่มลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ หรือมีกระเปาะที่ลำไส้ ไม่สามารถทำได้

2.2. บุด้วยเนื้อเยื่อช่องท้องแบบติดขั้วเส้นเลือด

ข้อดี

  • เนื้อเยื่อสามารถผลิตเมือกได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ช่องคลอดมีความชุ่มชื้น แต่อาจยังต้องใช้เจลหล่อลื่นในการมีเพศสัมพันธ์
  • การใช้เยื่อเมือกธรรมชาติ จะช่วยให้การตกแต่งภายในช่องคลอดเป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาการตีบตันช่องคลอด ในผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ
  • ไม่มีข้อจำกัดเหมือนกับการแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้

ข้อจำกัด

  • เนื่องจากเป็นเทคนิคใหม่ จึงต้องใช้แพทย์ที่มีความชำนาญในการผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

การผ่าตัดอวัยวะแสดงลักษณะเพศ ชายเป็นหญิง มีอะไรบ้าง?

การผ่าตัดอวัยวะแสดงลักษณะเพศ สามารถเลือกทำได้ทั้งก่อนและหลังการแปลงเพศ โดยจะเลือกทำหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล มีดังนี้

  • ศัลยกรรมปรับรูปหน้าให้เป็นหญิง เป็นการศัลยกรรมโครงหน้าที่มีลักษณะเป็นผู้ชาย ดูแข็งแรง ดุดัน ให้แลดูอ่อนหวาน เหมือนผู้หญิงมากยิ่งขึ้น
  • ผ่าตัดกล่องเสียง หรือศัลยกรรมเสียง เป็นการผ่าตัดสายเสียงให้ตึงและสั้นลง เพื่อทำให้เสียงเล็กแหลมขึ้น หลังทำจะต้องฝึกการออกเสียงกับนักอรรถบำบัด ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนถึง 1 ปี เพื่อให้พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ผ่าตัดกรอลูกกระเดือก เป็นการผ่าตัดเอากระดูกที่กระเดือกออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จนลำคอเรียบเนียน โดยทำได้ทั้งการผ่าตัดแบบมีแผล และผ่าตัดด้วยกล้อง หรือเรียกว่า “ผ่าตัดแบบไร้แผล”
  • การเสริมหน้าอกในชายเป็นหญิง จะต้องรับฮอร์โมนเพศหญิงอย่างน้อย 1 ปี เพื่อกระตุ้นต่อมน้ำนมให้เติบโตขึ้น และมีความยากกว่าการเสริมหน้าอกในผู้หญิง เนื่องจากตำแหน่งของหัวนมผู้ชายจะค่อนไปทางด้านข้างมากกว่า จึงจำเป็นต้องทำกับศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญการ

การรับฮอร์โมนเพศ หรือเทคฮอร์โมนในผู้ที่ต้องการแปลงเพศชายเป็นหญิง เป็นอย่างไร?

ก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง หรือผ่าตัดเสริมหน้าอก จะต้องรับฮอร์โมนทดแทนเพศหญิง หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า “เทคฮอร์โมน” ก่อน โดยจะต้องรับฮอร์โมนทดแทนเพศหญิงติดต่อกันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี

การเทคฮอร์โมนในผู้ที่ต้องการแปลงเพศชายเป็นหญิง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

  • รับประทานยาต้านฮอร์โมนเพศชาย เพื่อลด หรือกดฮอร์โมนเพศชายให้น้อยลง ช่วยลดการเจริญของขนตามร่างกาย หรือขนหนวด ลดเค้าโครงหน้าตา หรือรูปร่างแบบผู้ชายลง
  • เสริมฮอร์โมนเพศหญิง มีทั้งยาเม็ดรับประทาน และยาฉีด ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เส้นผมเล็กลง ขนหนวดขนขาขึ้นช้าลง ต่อมไขมันลดลง มีสรีระ รูปร่าง และเค้าโครงหน้าเหมือนผู้หญิง และกระตุ้นต่อมน้ำนมให้เติบโตขึ้นบ้างเพื่อรองรับการเสริมหน้าอก

โดยการเทคฮอร์โมนจะเริ่มเห็นผล เมื่อรักษาระดับฮอร์โมนให้สมดุลติดต่อกัน 3-6 เดือนขึ้นไป

ข้อควรระวังในการเทคฮอร์โมน

ผู้ที่สนใจรับฮอร์โมนทดแทน หรือเทคฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ต่อมไร้ท่อ หรือสูตินรีแพทย์ก่อนใช้ยา โดยแพทย์จะตรวจสุขภาพร่างกาย ตรวจเลือด วัดระดับฮอร์โมน และดูระดับการทำงานของตับและไต เพื่อจัดยาฮอร์โมนทดแทนที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลให้

ข้อดีของการเทคฮอร์โมนภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการ จะช่วยให้ไม่ต้องรับฮอร์โมนทดแทนมากเกินความจำเป็น ซึ่งจะส่งผลให้ตับและไตทำงานหนักเกินไป

อีกทั้งการรับฮอร์โมนทดแทนยังเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น โรคลิ่มเลือดดำอุดตัน กระดูกบางหรือพรุน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ หรือเป็นโรคซึมเศร้าได้

ซึ่งแพทย์จะคอยดูแลสุขภาพและสังเกตปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้อยู่เสมอ ทำให้การเทคฮอร์โมนเห็นผล และเป็นไปอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างยาฮอร์โมนเพศหญิงทดแทนที่นิยมใช้กัน

  • ยาฮอร์โมนแบบฉีด เช่น โปรกีนอน (Progynon) โปรลูตอน (Proluton) ดูโอโทน (Duoton) ฟีโนกีนอน-เอฟ (PHENOKINON-F) หรือเอสตราดิออล เบนโซเอท (Oestradiol Benzoate)
  • ยาฮอร์โมนแบบรับประทาน เช่น แอนโดรคัวร์ (Androcur) โปรกีโนวา (Progynova) หรือยาคุมทั่วไป
  • ยาฮอร์โมนแบบทา มีเฉพาะฮอร์โมนแบบเอสโตรเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการแปลงเพศแล้ว และไม่ชอบกินยา

สามารถรับประทานยาคุมกำเนิดแทนยาฮอร์โมนทดแทนได้หรือไม่

ไม่แนะนำ เพราะยาคุมกำเนิดทำมาเพื่อการคุมกำเนิดในผู้หญิง และมีปริมาณของฮอร์โมนที่สูงเกินความจำเป็น และมีผลข้างเคียงมากกว่าการรับประทานยาฮอร์โมนทดแทนปกติ

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ราคาเท่าไร?

ราคาผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำ ตัวอย่างเช่น

  • ผ่าตัดเหลากระเดือก หรือกรอกระเดือก ราคาประมาณ 20,000-25,000 บาท
  • ผ่าตัดตัดกระเดือก ราคาประมาณ 25,000-30,000 บาท
  • ผ่าตัดกล่องเสียง ราคาประมาณ 50,000-100,000 บาท
  • ตกแต่งแคมหลังแปลงเพศ ราคาประมาณ​ 50,000-60,000 บาท
  • ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ทำช่องคลอดด้วยเทคนิคผิวหนังองคชาตม้วนกลับ ราคาประมาณ 130,000-150,000 บาท

* ราคาอาจเปลี่ยนแปลง

จะเห็นได้ว่า การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงเป็นการผ่าตัดที่มีหลายขั้นตอน และต้องใช้เวลาเตรียมตัวเป็นปี ผู้ที่สนใจแปลงเพศชายเป็นหญิงจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนเตรียมร่างกายตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงเป็นไปอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

Scroll to Top