มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งในผู้หญิงที่พบมากเป็นอันดับที่ 2 ในประเทศไทยรองจากมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกสามารถพบได้ในผู้หญิงทุกช่วงอายุ แต่พบได้มากในผู้ป่วยอายุ 30-45 ปี ที่ยังคงมีเพศสัมพันธ์อยู่ แต่พบได้น้อยมากในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลงได้
สารบัญ
- มะเร็งปากมดลูกคืออะไร?
- เชื้อเอชพีวี สาเหตุของมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อย
- ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก
- การพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งปากมดลูก
- อาการของมะเร็งปากมดลูก
- การวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
- การวินิจฉัยระยะของมะเร็งปากมดลูก
- ระยะของโรคมะเร็งปากมดลูก
- การแพร่กระจายของมะเร็งปากมดลูก
- การรักษามะเร็งปากมดลูก
- การติดตามหลังการรักษา
- ภาวะแทรกซ้อนจากมะเร็งปากมดลูก
- การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกคืออะไร?
มะเร็งปากมดลูกคือ มะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณปากมดลูกของผู้หญิง สาเหตุมากกว่า 99% เกิดจากการติดเชื้อเอชพีวี ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยและติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ด้วยการสอดใส่และการมีกิจกรรมทางเพศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง
ดังนั้นเชื้อไวรัสนี้จึงติดต่อกันได้บ่อย ประมาณการว่า ผู้หญิง 1 ใน 3 คนจะมีการติดเชื้อเอชพีวีภายใน 2 ปี หลังจากเริ่มมีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ และประมาณ 4 ใน 5 ของผู้หญิงจะพบการติดเชื้อเอชพีวีในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิต
เชื้อเอชพีวี สาเหตุของมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อย
เชื้อเอชพีวี (Human Papilloma Virus: HPV) เป็นเชื้อที่มีอยู่มากกว่า 100 สายพันธ์ุ ส่วนใหญ่แล้วไม่ทำให้เกิดอันตราย อย่างไรก็ตาม มีเชื้อเอชพีวีบางสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่เซลล์ปากมดลูก ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้
สำหรับเชื้อเอชพีวีที่เป็นสายพันธุ์เสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกมีอยู่ราว 15 สายพันธุ์ ส่วนสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกคือ สายพันธุ์ที่ 16 และสายพันธุ์ที่ 18 (HPV 16 และ HPV18) ซึ่งเป็นสาเหตุมากถึง 7 ใน 10 คนของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกทั้งหมด
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก
ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอชพีวีมีสัดส่วนน้อยที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูก เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้หญิงในการพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูกอีกหลายปัจจัย ได้แก่
- การสูบบุหรี่ ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 2 เท่า เพราะสารเคมีที่พบในบุหรี่ทำให้เกิดผลเสียต่อเซลล์ปากมดลูก
- มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยได้รับยาบางชนิด เช่น ยากดภูมิคุ้มกันในกรณีที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะ หรือเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือโรคเอดส์ (AIDS)
- รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดเป็นเวลานานมากกว่า 5 ปี พบว่า ผู้หญิงที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานยาเป็นระยะเวลานานขนาดนี้เป็น 2 เท่า ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่า เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้
- การมีลูก (มีลูกหลายคน มีความเสี่ยงมากกว่า) ผู้หญิงที่มีลูก 2 คน มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูก เหตุผลของความสัมพันธ์ระหว่างการมีลูกและมะเร็งปากมดลูกยังไม่ทราบแน่ชัด หนึ่งในทฤษฎีก็คือ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่พบระหว่างการตั้งครรภ์อาจทำให้ปากมดลูกเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากเชื้อเอชพีวีมากยิ่งขึ้น
การพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูกมักจะใช้เวลาหลายปีก่อนจะพัฒนาเป็นมะเร็งขึ้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเกิดโรคมะเร็งขึ้นเซลล์ที่บริเวณปากมดลูกมักแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า “เซลล์ปากมดลูกเจริญผิดปกติ (Cervical Intraepithelial Neoplasia: CIN)”
หรือที่พบได้น้อยกว่าคือ “Cervical Glandular Intraepithelial Neoplasia: CGIN” ทั้ง CIN และ CGIN คือ เซลล์ในระยะก่อนพัฒนาเป็นมะเร็ง (pre-cancerous conditions) ซึ่งยังไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยในทันที แต่ในอนาคตมีโอกาสที่เซลล์ในระยะนี้จะพัฒนาต่อเป็นมะเร็งได้
การพัฒนาของโรคตั้งแต่เริ่มมีการติดเชื้อเอชพีวี ไปจนมีการเจริญผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก (CIN หรือ CGIN) จนกระทั่งทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกนั้นเป็นไปอย่างช้าๆ และมักกินระยะเวลา 10-20 ปี
อาการของมะเร็งปากมดลูกไม่ค่อยเห็นได้เด่นชัดและอาจไม่มีอาการใดๆ เลยจนกระทั่งมะเร็งเข้าสู่ระยะที่มีความรุนแรงแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญว่า “เหตุใดผู้หญิงทุกคนจึงต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ”
หากตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ระหว่างการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การรักษาจะประสบความสำเร็จสูง
อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก แม้จะพยายามหาคำตอบด้วยตนเองแล้วแต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ หรือยังไม่มีเวลาไปพบแพทย์ด้วยตนเองที่โรงพยาบาล หรือคลินิก ปัจจุบันสามารถใช้บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้แล้ว
คำแนะนำเบื้องต้นจากแพทย์จะช่วยให้คุณรู้ว่า ควรจะดำเนินการต่ออย่างไรบ้าง เช่น ต้องไปตรวจคัดกรองที่ไหน ตรวจด้วยวิธีใด
อาการของมะเร็งปากมดลูก
ส่วนใหญ่แล้ว อาการแรกที่เห็นได้ชัดเจนในโรคมะเร็งปากมดลูกคือ เลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งมักพบหลังการมีเพศสัมพันธ์ (postcoital bleeding) รวมทั้งการมีเลือดออกจากช่องคลอดในกรณีต่อไปนี้
- เลือดออกจากช่องคลอดในช่วงเวลาอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ช่วงที่มีประจำเดือน
- หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว
ส่วนอาการอื่นๆ ของมะเร็งปากมดลูกที่พบอาจรวมถึง อาการปวด เมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปยังปลายประสาท กระดูก หรือกล้ามเนื้อ จะเป็นสาเหตุให้มีอาการปวดรุนแรง อาการไม่สบายตัวระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และตกขาวมีกลิ่นเหม็น
หากมะเร็งปากมดลูกแพร่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียงจะทำให้เกิดอาการหลายอย่างตามมา ได้แก่
- ท้องผูก
- ปัสสาวะมีเลือดปน (haematuria)
- สูญเสียการควบคุมการปัสสาวะ (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่)
- ปวดกระดูก
- ขาบวมข้างใดข้างหนึ่ง
- ปวดอย่างรุนแรงที่หลัง หรือปวดด้านข้างของร่างกาย ที่เกิดจากการบวมที่ไต (ไตบวมน้ำ หรือไตมีปัสสาวะคั่ง)
- มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
- อ่อนเพลีย รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง
การวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
หากมีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกพบความผิดปกติ หรือมีอาการที่มีแนวโน้มว่า คุณอาจเป็นมะเร็งปากมดลูก สูตินรีแพทย์จะตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่อไปนี้
- ใช้กล้องส่องตรวจช่องคลอด (colposcopy) ซึ่งเป็นการตรวจหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่ปากมดลูก ระหว่างการส่องตรวจช่องคลอด แพทย์จะใช้กล้องขนาดเล็กที่มีแสงไฟที่ปลายของกล้องส่องตรวจ จากนั้นจะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจากปากมดลูกไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อดูว่า มีเซลล์มะเร็งหรือไม่
- การตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย (cone biopsy) ผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยเพื่อนำไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ว่า “มีเซลล์มะเร็งอยู่หรือไม่” วิธีนี้ผู้เข้ารับการตรวจอาจมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดนานถึง 4 สัปดาห์ และอาจมีอาการปวดคล้ายกับมีประจำเดือนด้วย
- การตรวจเพิ่มเติม หากผลจากการตรวจชิ้นเนื้อพบว่า คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก และมีความเสี่ยงที่มะเร็งอาจแพร่กระจายออกไป คุณจำเป็นต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่า มะเร็งมีการแพร่กระจายออกไปแล้วมากน้อยเพียงใด
การวินิจฉัยระยะของมะเร็งปากมดลูก
- การตรวจภายใน (pelvic examination) เพื่อตรวจมดลูก ช่องคลอด ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็งไปหรือไม่
- การตรวจเลือด เพื่อช่วยประเมินการทำงานของตับ ไต และไขกระดูก
- การทำซีที สแกน/การสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) คือ การสแกนร่างกายและใช้คอมพิวเตอร์สร้างเป็นภาพของอวัยวะภายในร่างกายเป็นภาพสามมติ การตรวจซีทีสแกนจะช่วยบ่งชี้ว่า มีก้อนเนื้องอกมะเร็งหรือไม่ และบอกว่า มะเร็งมีการแพร่กระจายหรือไม่
- การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetic resonance imaging (MRI) scan) การตรวจสแกนนี้จะใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้มข้นและคลื่นวิทยาในการสร้างเป็นภาพของอวัยวะภายในร่างกาย ใช้เพื่อตรวจว่า มีการแพร่กระจายของมะเร็งแล้วหรือไม่
- การเอ็กซเรย์ปอด เพื่อดูว่า มะเร็งแพร่กระจายไปที่ปอดหรือไม่
- การทำเพทสแกน (positive emission tomography (PET) scan) คือ การตรวจสแกนชนิดพิเศษร่วมกับการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าทางหลอดเลือดดำเพื่อให้เห็นภาพเซลล์มะเร็งได้ชัดเจนขึ้น การตรวจนี้มักทำร่วมกับการทำซีทีสแกนเพื่อดูว่า มะเร็งแพร่กระจายไปมากน้อยแค่ไหน และดูการตอบสนองต่อการรักษาที่ได้รับ
ระยะของโรคมะเร็งปากมดลูก
- ระยะ 0 (ก่อนเป็นมะเร็ง) ระยะนี้จะยังไม่มีเซลล์มะเร็งที่ปากมดลูก แต่พบการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาที่สามารถกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในอนาคต เราเรียกว่า “ระยะที่ตรวจพบเซลล์ปากมดลูกเจริญผิดปกติ (Cervical Intraepithelial Neoplasia: CIN) หรือมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก (Carcinoma In Situ: CIS)”
- ระยะที่ 1 มะเร็งยังอยู่เฉพาะที่ปากมดลูก
- ระยะที่ 2 มะเร็งมีการแพร่กระจายออกไปจากปากมดลูกเข้าสู่เนื้อเยื่อข้างเคียง แต่ยังไม่ถึงเนื้อเยื่อบุอุ้งเชิงกราน (ผนังอุ้งเชิงกราน) หรือส่วนล่างของช่องคลอด
- ระยะที่ 3 มะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่ส่วนล่างของช่องคลอด และ/หรือ เข้าสู่ผนังอุ้งเชิงกราน
- ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่ลำไส้ กระเพาปัสสาวะ หรืออวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด
การแพร่กระจายของมะเร็งปากมดลูก
หากมะเร็งปากมดลูกไม่ได้รับการวินิจฉัยและไม่ได้รับการรักษา ตัวมะเร็งจะค่อยๆ แพร่กระจายออกจากปากมดลูกอย่างช้าๆ เข้าสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะข้างเคียง
มะเร็งสามารถแพร่กระจายลงสู่ช่องคลอดและกล้ามเนื้อที่ค้ำจุนกระดูกเชิงกรานอยู่ และอาจแพร่กระจายขึ้นด้านบนไปปิดกั้นท่อไต (ท่อที่นำน้ำปัสสาวะจากไตลงสู่กระเพาะปัสสาวะ (ureters) ลำไส้ใหญ่ และไปที่ตับ กระดูก และปอดได้อีกด้วย
นอกจากนี้เซลล์มะเร็งยังสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบน้ำเหลือง (lymphatic system) ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเซลล์ที่จำเป็นในระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน ในผู้ป่วยบางรายที่เป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้น ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้กับปากช่องคลอดอาจมีเซลล์มะเร็งอยู่ในนั้นด้วย
และในบางรายต่อมน้ำเหลืองที่หน้าอกและช่องท้องอาจได้รับผลกระทบไปด้วย
การรักษามะเร็งปากมดลูก
การรักษามะเร็งปากมดลูกขึ้นกับว่า มะเร็งแพร่กระจายไปมากน้อยเพียงใด จากนั้นโรงพยาบาลแต่ละแห่งจะใช้ทีมสหสาขาวิชาชีพซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาร่วมกันดูแลและวางแผนโปรแกรมการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายว่าจะรักษาแบบไหนนั้น ผู้ป่วยจะเป็นผู้ตัดสินใจ โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะแนะนำให้รักษาดังนี้
- มะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้นจะรักษาด้วยการผ่าตัดบางส่วน หรือผ่าตัดมดลูกทั้งหมดออก (hysterectomy) การใช้รังสีรักษา หรือใช้ร่วมกันทั้งการผ่าตัดและรังสีรักษา
- มะเร็งปากมดลูกระยะแพร่กระจายซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้นจะรักษาด้วยการใช้รังสีรักษา และ/หรือ ยาเคมีบำบัด และอาจมีการใช้การผ่าตัดด้วย
การคาดการณ์ว่า มะเร็งปากมดลูกจะรักษาหายขาดหรือไม่นั้นขึ้นกับระยะที่ตรวจพบโรค หากตรวจเจอตั้งแต่ระยะแรก ผู้ป่วยเข้สรับการรักษาเร็วก็มีโอกาสสูงที่จะรักษาหายขาด แต่หากตรวจพบในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดก็จะลดลงเรื่อยๆ
ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แพทย์จะให้การรักษาแบบ “ประคับประคองตามอาการ (palliative care)” เพื่อชะลอการดำเนินไปของโรค ช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น และบรรเทาอาการต่างๆ ที่สัมพันธ์กับโรค เช่น อาการปวด อาการเลือดออกทางช่องคลอด
การติดตามหลังการรักษา
หลังการรักษาสิ้นสุดลง ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจติดตามอาการเป็นประจำ เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ในช่วงเวลาประมาณ 18 เดือนหลังสิ้นสุดคอร์สการรักษา
การนัดหมายเพื่อติดตามอาการมักแนะนำให้ติดตามทุก 4 เดือน ในช่วง 2 ปีแรกหลังสิ้นสุดการรักษา จากนั้นติดตามห่างออกไปเป็นทุก 6 – 12 เดือน ในช่วง 3 ปีต่อมา
ภาวะแทรกซ้อนจากมะเร็งปากมดลูก
ภาวะแทรกซ้อนจากมะเร็งปากมดลูกอาจเกิดจากผลข้างเคียงของการรักษา หรือเกิดจากตัวโรคมะเร็งปากมดลูกที่มีการลุกลาม ได้แก่
- หมดประจำเดือนก่อนกำหนด (Early menopause) ทำให้มีอาการต่อไปนี้ เช่น ขาดประจำเดือน ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน ช่องคลอดแห้ง
- ภาวะเลือดออก หากมะเร็งแพร่กระจายไปที่ช่องคลอด ลำไส้ หรือกระเพาะปัสสาวะจะทำให้เกิดเลือดออกได้ เช่น ที่ช่องคลอด ลำไส้ตรง
- ตกขาว (Vaginal discharge) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยแต่รบกวนชีวิตผู้ป่วย โดยตกขาวจะมีกลิ่นเหม็น
- ช่องคลอดแคบ ทำให้เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเพศสัมพันธ์ลำบากขึ้น
- บวมน้ำเหลือง (Lymphoedema) ทำให้เกิดการขัดขวางการทำงานตามปกติของระบบน้ำเหลือง ทำให้เกิดการสะสมของของเหลวภายในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการบวมน้ำเหลือง ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้จากการบวมของขา
- ไตวาย (kidney failure) ในรายที่เป็นมะเร็งปากมดลูกระยะแพร่กระจาย ก้อนมะเร็งสามารถกดเบียดที่ท่อไต และขัดขวางการไหลของปัสสาวะจากไต ทำให้เกิดการคั่งของปัสสาวะภายในไต (hydronephrosis) และอาจทำให้ไตบวมได้
- ลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้เลือดมีความหนืดมากขึ้น เลือดไหลเวียนช้า และมีแนวโน้มที่จะเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ เช่น เกิดการลิ่มเลือดอุดตันที่บริเวณขา
- ผลกระทบด้านจิตใจ เช่น ทำให้รู้สึกแย่ หดหู่ เครียด เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า หากรู้สึกเครียด เศร้าแบบไม่มีเหตุผม สามารถไปพูดคุยปรึกษาจิตแพทย์ได้
การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก
ในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน โดยวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงมีดังนี้
การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ซึ่งตัวเชื้อไวรัสเอชพีวีจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ดังนั้นการใช้ถุงยางอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสนี้อาจติดต่อกันได้แม้ไม่มีการสอดใส่อวัยวะเพศ เพราะสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสร่างกายระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ได้เช่นกัน เช่น การสัมผัสกันของผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศของทั้งสองฝ่าย หรือโดยการใช้เซ็กซ์ทอย (sex toys)
คุณจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชพีวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส ติดเชื้อเอชไอวี เพิ่มขึ้น หากมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งและเปลี่ยนคู่นอนหลายคน
หากไม่มั่นใจในสุขภาพระบบสืบพันธุ์ของตนเองและคู่นอน การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ปัจจุบันการตรวจโรคเช่นนี้ก็มีให้บริการหลากหลายประเภท มีทั้งการตรวจในคลินิกและโรงพยาบาล
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Screening for cervical cancer) เป็นประจำคือ วิธีที่ดีที่สุดในการดูว่า มีเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกตั้งแต่ระยะแรกๆ ของโรคหรือไม่
แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 25-49 ปี ตรวจคัดกรองทุก 3 ปี ผู้หญิงที่อายุ 50-64 ปี แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกๆ 5 ปี
ส่วนผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จะแนะนำให้ตรวจเฉพาะกรณีที่ยังไม่เคยตรวจเลยตั้งแต่อายุ 50 ปี หรือผลการตรวจในครั้งก่อนหน้านี้พบความผิดปกติ
หากเคยได้รับการรักษาความผิดปกติของเซลล์ที่ปากมดลูกแล้ว จะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองบ่อยครั้งขึ้น สำหรับจำนวนครั้งที่ต้องเข้ารับการตรวจจะมาก-น้อย หรือบ่อยครั้งเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ตรวจพบ
แม้ว่าจะสามารถตรวจพบความผิดปกติของเซลล์ที่ปากมดลูกได้ แต่ผลการตรวจคัดกรองก็ไม่ได้แม่นยำ 100% ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติ เช่น เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์แม้ว่าจะเพิ่งผ่านการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแล้วผลออกมาปกติก็ตาม
การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
เด็กหญิงจะได้รับคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุ 12-23 ปี โดยจะฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ในช่วงเวลา 6 เดือน
แม้ว่า วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มาก แต่ไม่ได้ยืนยัน 100% ว่าจะไม่เป็นโรคนี้ คุณจึงยังจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ แม้ว่าจะเคยฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมาแล้วก็ตาม
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
คุณสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ด้วยการไม่สูบบุหรี่ เนื่องจากพบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความสามารถในการกำจัดเชื้อเอชพีวีออกจากร่างกายได้น้อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ จึงทำให้มีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งมากกว่า
มะเร็งปากมดลูกแม้จะเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ก็เป็นโรคมะเร็งไม่กี่ชนิดที่มีวัคซีนสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ มีวิธีตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีวิธีการป้องกันที่สามารถทำได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญคือ คุณผู้หญิงทุกคนต้องรู้จักและเข้าใจโรคนี้ ไม่ควรละเลยการดูแลตนเอง
บทความตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ.วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี