ในปี 2554 สำนักระบาดวิทยาได้รับรายงานการระบาดของโรคหัดว่า ร้อยละ 60 ของการระบาดพบได้ในสถานที่ที่มีคนรวมกลุ่มกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน สถานสงเคราะห์เด็ก เนื่องจากเด็กเล็กมีพฤติกรรมการเล่น คลุกคลีกับเพื่อนเด็กคนอื่นๆ ทำให้เสี่ยงต่อการรับเอาโรคระบาด เด็กจึงเป็นวัยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคหัดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะกำจัดโรคหัดให้หมดไปในปี 2563 โดยปัจจุบันได้มีการใช้วัคซีนชนิดหนึ่งมานานแล้ว ทำให้อัตราการระบาดของโรคหัดลดลงอย่างต่อเนื่อง ในบทความนี้จะมาพูดถึงวัคซีนที่ช่วยกำจัดโรคหัด และโรคอื่นๆ ให้หมดไปนั่นก็คือวัคซีน MMR
สารบัญ
วัคซีน MMR คืออะไร?
วัคซีน MMR เป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันได้ถึง 3 โรค ได้แก่ โรคหัด (Measles) คางทูม (Mumps) และหัดเยอรมัน (Rubella) เมื่อนำอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของทั้ง 3 โรคมารวมกันจึงกลายเป็นชื่อวัคซีน MMR นั่นเอง
วัคซีน MMR เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live attenuated vaccine) มีประสิทธิภาพในการป้องกันได้เช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันเดี่ยวๆ ของแต่ละโรค และมีผลข้างเคียงน้อย จึงได้รับความนิยมกว่าการฉีดวัคซีนแยกเดี่ยวๆ
รายละเอียดทั่วไปของโรคที่วัคซีน MMR ป้องกันได้ มีดังต่อไปนี้
- โรคหัด (Measles) เกิดจากเชื้อไวรัสหัด (Measles virus) สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางละอองฝอย เมื่อรับเชื้อเข้าไปจะมีระยะฟักตัว 8-12 วัน จากนั้นจะมีไข้ ไอ มีน้ำมูก ตาแดง มีผื่นแดงขึ้น เริ่มจากบริเวณใบหน้า และกระจายไปทั่วร่างกาย หากเกิดการติดเชื้อในปอดอาจทำให้เป็นปอดอักเสบได้ (Pneumonia) กรณีรุนแรงอาจนำไปสู่อาการอักเสบของสมองได้
- คางทูม (Mumps) เกิดจากเชื้อไวรัสคางทูม (Mumps virus) สามารถติดต่อกันผ่านสารคัดหลั่งระบบทางเดินหายใจ เมื่อรับเชื้อไปแล้วจะมีระยะฟักตัวประมาณ 16-18 วัน เชื้ออาจทำให้ทำให้ต่อมน้ำลายอักเสบ แก้มบวม ส่วนมากมักไม่ทำอันตรายถึงชีวิต แต่มีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนได้หลายประเภท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- หัดเยอรมัน (Rubella) เกิดจากเชื้อไวรัส (Rubella virus) สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ เมื่อรับเชื้อไปจะมีระยะฟักตัว 14-21 วัน จากนั้นผู้ติดเชื้อจะมีผื่นขึ้นบนใบหน้า ต่อมน้ำเหลืองที่หลังใบหูและลำคอโต บางกรณีอาจข้อต่อบวมร่วมกับมีไข้ต่ำๆ เด็กส่วนมากสามารถหายจากอาการได้โดยปลอดภัย แต่จะอันตรายมากหากติดในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หากติดเชื้อในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกพิการ เช่น ตาบอด หูหนวก หัวใจพิการ
วัคซีน MMR ควรฉีดตอนไหน ฉีดกี่เข็ม?
เด็กที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมักได้รับคำแนะนำให้ฉีดวัคซีน MMR ทั้งหมด 2 เข็ม ระยะเวลามีดังต่อไปนี้
- เข็มที่ 1 ให้ตอนอายุระหว่าง 9-12 เดือน
- เข็มที่ 2 มาให้ตอนอายุระหว่าง 4-6 ปี
- แพทย์บางคนอาจแนะนำให้ฉีดเข็มที่ 2 ตอนอายุ 2 ปีครึ่ง เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันก่อนที่จะเข้าเรียนกับเด็กคนอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่แพทย์พิจารณา
สำหรับผู้ที่อายุเกินเกณฑ์ที่กำหนด และยังไม่เคยรับวัคซีน รวมถึงไม่เคยเป็นโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ก็สามารถมารับวัคซีนได้เมื่ออายุเกิน 18 ปีขึ้นไปเช่นกัน
ใครควรฉีดวัคซีน MMR?
ผู้ที่มีเงื่อนไขข้อใดตรงกับข้อต่อไปนี้ ควรพิจารณาปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวัคซีน MMR
- ผู้ที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2499 (1956) เพราะก่อนหน้าปี 2499 มีผู้ติดที่เป็นหัด คางทูม และหัดเยอรมันจำนวนมาก ผู้ที่เกิดก่อนปี 2499 จึงอาจมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว
- ผู้ที่ทำงานในหน่วยงานทางการแพทย์ ใกล้ชิดกับผู้ป่วย และมีโอกาสรับเชื้อสูง
- ผู้ที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ ควรฉีดก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 28 สัปดาห์
- ผู้ที่มีเด็กอายุระหว่าง 6-11 เดือน และกำลังวางแผนเดินทางไปต่างประเทศ ควรปรึกษาแพทย์รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มก่อน จากนั้นตามฉีดให้ครบเมื่ออายุ 12 เดือน
- เด็กอายุ 9 เดือนขึ้นไปทุกคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง และสามารถรับวัคซีนได้
ใครไม่ควรฉีดวัคซีน MMR?
หากมีเงื่อนไขข้อใดตรงกับข้อดังต่อไปนี้ ไม่ควรฉีดวัคซีน MMR
- ผู้ที่เคยมีอาการแพ้รุนแรงหลังจากฉีดวัคซีน MMR เข็มแรกไปแล้ว
- ผู้ที่มีประวัติแพ้เจลาติน (Gelatin) หรือ นีโอมัยซิน (Neomycin)
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากการรักษาโรคมะเร็ง เอดส์ หรือใช้คอร์ติคอสเตียร์รอยด์ (corticosteroids)
- ผู้ที่มีเชื้อวัณโรค (Tuberculosis)
- ผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรง ควรรอให้รักษาจนหายก่อน
- ผู้ที่เพิ่งทำการบริจาคเลือด หรือผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับเลือด
- ผู้ที่เพิ่งได้รับวัคซีนอื่นๆ ในรอบ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
หากมีอาการอื่นๆ ที่กังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการรับวัคซีน MMR ควรสอบถามแพทย์ก่อนรับบริการ
ผลข้างเคียงของวัคซีน MMR
คนส่วนใหญ่ที่รับวัคซัน MMR ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน ดังนี้
- อาจมีไข้ (มีโอกาสเกิดขึ้น 5%)
- อาจมีผื่น หรือรอยแดงขึ้น (มีโอกาสเกิดขึ้น 5%)
- มีอาการบวมที่ต่อมบางจุด
- มีอาการปวดข้อ ข้อฝืด (มีโอกาสเกิดขึ้น 0.5%)
- อาจเกิดอาการชัก (เกิดขึ้น 1 ใน 3,000)
- อาจทำให้เกร็ดเลือดต่ำ หรือเลือดออก (เกิดขึ้น 1 ใน 30,000)
- อาจเกิดไข้สมองอักเสบ (เกิดขึ้น 1 ในล้าน)
สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน MMR
ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเงื่อนไขสุขภาพใดๆ ต่อไปนี้ ควรแจ้งกับแพทย์ทุกครั้งก่อนฉีดวัคซีน MMR
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ (Bleeding Disorders)
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกชนิด
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่กำลังป่วย เป็นไข้
- มีระดับเกล็ดเลือดต่ำ
- เพิ่งผ่านการถ่ายเลือดมาไม่นาน
- ผู้ที่เป็นโรคลมชัก (Seizure Disorder)
- ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่มีประวัติแพ้วัคซีน หรือส่วนผสมใดในวัคซีน
- สตรีมีครรภ์ หรือกำลังพยายามตั้งครรภ์
- สตรีที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร
ลืมนัดฉีดวัคซีน MMR ควรทำอย่างไร?
หากลืมนัดฉีดวัคซีน MMR ควรแจ้งกับผู้ให้บริการทันทีที่นึกออกเพื่อทำการนัดหมายใหม่อีกครั้ง ไม่ควรปล่อยเลยตามเลยเพราะอาจทำให้วัคซีนที่ไม่ครบโดสทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ข้อควรระวังของวัคซีน MMR
วัคซีน MMR มีข้อควรระวังบางประการที่ควรปรึกษาแพทย์หากเป็นกังวล ดังนี้
- ไม่ควรตั้งครรภ์ภายใน 3 เดือนหลังจากรับวัคซีน MMR เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้
- การทดสอบหาการติดเชื้อวัณโรค (Tuberculin Skin Test) ภายใน 8 สัปดาห์หลังรับวัคซีน MMR อาจทำให้ผลคลาดเคลื่อนได้
- หากต้องรับวัคซีนชนิดอื่นในรอบ 1 เดือนหลังจากรับวัคซีน MMR ควรแจ้งกับแพทย์ทันที
- หากต้องมีการถ่ายเลือดภายใน 2 สัปดาห์หลังจากรับวัคซีน ควรแจ้งกับแพทย์ทันที
- หากต้องรับพลาสมาประเภท Gamma Globulin หรือ Globulins ในรอบ 2 สัปดาห์หลังจากรับวัคซีน MMR ควรแจ้งกับแพทย์ผู้ดูแลเช่นกัน
โดยสรุปแล้ววัคซีน MMR สามารถป้องกันได้ถึง 3 โรค ส่วนมากมักได้รับการฉีดตั้งแต่ในวัยเด็ก แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฉีด หรือไม่แน่ใจว่ารับวัคซีนไปหรือยัง ก็สามารถรับได้เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์