วิธีลดอาการไอ อย่างมหัศจรรย์ ด้วยตนเอง เห็นผลไว

อาการไอ เกิดได้ทั้งการไอแห้งและไอแบบมีเสมหะ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับโรคหวัดธรรมดามากที่สุด แต่การไอก็อาจเป็นอาการแสดงของภาวะร้ายแรงได้ เช่น ภาวะหัวใจวาย โรคปอดบวม หรือเกิดจากการจับหืดเฉียบพลัน (exacerbation) ของโรคหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง วิธีลดอาการไออย่างมหัศจรรย์ เร่งด่วนและได้ผล มีวิธีไหนบ้างมาดูกัน

อาการไอ เกิดจากอะไร

อาการไออาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ การระคายเคือง หรือโรคประจำตัว เช่น หืดหรือกรดไหลย้อน หากอาการไอเป็นเรื้อรังหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

อาการไอที่รักษาได้ด้วยตัวเอง

1. ไอเล็กน้อยและเป็นช่วงสั้น ๆ

  • หากมีอาการไอเล็กน้อยและเป็นในช่วงระยะเวลาสั้น (ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์) โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ที่รุนแรง เช่น ไอหลังจากเป็นหวัด ไอเพราะระคายเคืองจากฝุ่นหรือควัน
  • อาการไอประเภทนี้มักเกิดจากการระคายเคืองในทางเดินหายใจชั่วคราวและสามารถหายเองได้

2. ไอจากไข้หวัดธรรมดา

  • อาการไอที่เกิดจากไข้หวัดธรรมดาหรือโรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน โดยมีอาการร่วม เช่น น้ำมูก เจ็บคอ และจาม แต่ไม่มีไข้สูงหรือหายใจลำบาก
  • ไอประเภทนี้มักหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ สามารถใช้วิธีธรรมชาติ เช่น การดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำผึ้งผสมมะนาวเพื่อบรรเทาอาการ

3. ไอแห้งจากการระคายเคือง

  • ไอแห้งที่เกิดจากการสัมผัสกับสารระคายเคืองในอากาศ เช่น ฝุ่น ควันบุหรี่ หรือกลิ่นน้ำหอม ซึ่งจะหยุดไอเมื่อออกจากสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • หากหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นได้ อาการไอจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง

4. ไอจากภูมิแพ้

  • หากไอเนื่องจากภูมิแพ้ เช่น แพ้เกสรดอกไม้ ฝุ่น หรือขนสัตว์ และมีอาการน้ำมูกไหลหรือจามร่วมด้วย
  • การใช้ยาต้านฮิสตามีน หรือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้สามารถช่วยบรรเทาอาการได้

5. ไอหลังการออกกำลังกายหรืออากาศแห้ง

  • บางคนอาจไอหลังจากการออกกำลังกายหนัก หรือในสภาพอากาศที่แห้ง ทำให้ทางเดินหายใจแห้งและระคายเคือง
  • อาการไอประเภทนี้จะดีขึ้นเมื่อได้พักและดื่มน้ำ

อาการไอที่ควรพบแพทย์

หากอาการไอมีลักษณะดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษา:

  • ไอเรื้อรังนานกว่า 2-3 สัปดาห์
  • ไอรุนแรงหรือมีเสมหะเป็นเลือด
  • ไอร่วมกับหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือหอบ
  • มีไข้สูงนานกว่า 2-3 วัน
  • น้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการอ่อนเพลียผิดปกติ

ยาสำหรับบรรเทาอาการไอ

1. กลุ่มยากดอาการไอ (Antitussive)

  • เดกซ์โตรมีทอร์แฟน (Dextromethorphan)
    • ใช้กดอาการไอแห้ง ไม่มีเสมหะ โดยช่วยระงับการไอจากการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจส่วนต้น เห็นผลไวและบรรเทาอาการไอได้ภายใน 15-30 นาที
    • ขนาดที่แนะนำ: 10-20 มก. ทุก 4 ชั่วโมง (ไม่เกิน 120 มก. ต่อวัน)

2. กลุ่มยาขับเสมหะ (Expectorant)

  • ไกวเฟนิซิน (Guaifenesin)
    • ใช้สำหรับอาการไอที่มีเสมหะ ช่วยลดความข้นของเสมหะและทำให้ขับออกได้ง่ายขึ้น ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเสมหะ
    • ขนาดที่แนะนำ: 200-400 มก. ทุก 4 ชั่วโมง (ไม่เกิน 2400 มก. ต่อวัน)

3. กลุ่มยาละลายเสมหะ (Mucolytic)

  • บรอมเฮกซีน (Bromhexine)
    • ใช้สำหรับอาการไอที่มีเสมหะ ช่วยละลายเสมหะทำให้ขับออกง่าย หลังทานยา เห็นผลในเวลา 30-60 นาที
    • ขนาดที่แนะนำ: 8-16 มก. วันละ 3 ครั้ง
  • อะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine)
    • ช่วยทำลายโครงสร้างเสมหะ ทำให้เสมหะข้นเหนียวน้อยลงและขับออกง่าย
    • มีรูปแบบเป็นเม็ดฟู่ ละลายเสมหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ขนาดที่แนะนำ: 600 มก. วันละ 1-2 ครั้ง

นอกจากนี้ยังมี ยาที่มีส่วนผสมของโคเดอีน (Codeine) ยาในกลุ่มนี้ใช้สำหรับบรรเทาอาการไอที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เนื่องจากมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางเพื่อหยุดอาการไอ อย่างไรก็ตาม ยาโคเดอีนเป็นสารเสพติดประเภทที่ 3 จึงไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปและจำกัดการใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น

สำหรับอาการไอที่ไม่มีเสมหะ เดกซ์โตรมีทอร์แฟนจะเห็นผลไวที่สุด ส่วนสำหรับไอมีเสมหะ บรอมเฮกซีนหรืออะเซทิลซิสเทอีนเป็นทางเลือกที่ช่วยละลายเสมหะและทำให้ขับออกง่าย ควรเลือกใช้ยาตามอาการที่เป็น

ทั้งนี้ ถึงการใช้ยาจะเป็นวิธีลดอาการไออย่างมหัศจรรย์ บางรายอาจได้ผลเร็วเกินคาด แต่ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาที่ไม่เคยใช้มาก่อน หากอาการไม่ดีขึ้นใน 5-7 วัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม

วิธีแก้ไอ ด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ยา

1. ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งและมะนาว

น้ำผึ้ง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและเคลือบคอ ช่วยบรรเทาอาการไอได้อย่างดี และ มะนาว มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

วิธีทำ: ผสมน้ำอุ่น 1 แก้วกับน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการไอ

2. การดื่มน้ำขิงอุ่น

ขิง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยขยายหลอดลม ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น

วิธีทำ: ต้มขิงสดประมาณ 3-4 ชิ้นในน้ำ 1 แก้ว นาน 10 นาที จากนั้นเติมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวเล็กน้อย ดื่มน้ำขิงอุ่นวันละ 2-3 ครั้ง

3. การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ

น้ำเกลือ ช่วยลดการระคายเคืองที่คอและฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด

วิธีทำ: ผสมเกลือครึ่งช้อนชากับน้ำอุ่น 1 แก้ว แล้วกลั้วคอเป็นเวลา 30 วินาที วันละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะช่วงเช้าและก่อนนอน

4. การใช้ไอน้ำบรรเทาอาการไอ

ไอน้ำช่วยทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง

วิธีทำ: ใช้หม้อใส่น้ำร้อน แล้วนำหน้ามาใกล้ ๆ เพื่อสูดไอน้ำ (ระวังความร้อน) หรืออาบน้ำอุ่นในห้องน้ำที่มีไอน้ำ

5. การดื่มน้ำใบโหระพาหรือกระเพรา

ใบโหระพาและกระเพรา มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการไอ

วิธีทำ: นำใบโหระพาหรือกระเพรา 5-10 ใบต้มกับน้ำ 1 แก้ว ต้มประมาณ 5-10 นาที ดื่มน้ำที่ต้มได้วันละ 2-3 ครั้ง

6. ใช้หัวหอม

หัวหอม มีสารที่ช่วยลดการอักเสบและขับเสมหะ

วิธีทำ: หั่นหัวหอมและวางไว้ใกล้ ๆ หัวนอน หรือผสมน้ำหัวหอมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา แล้วดื่มวันละ 2-3 ครั้ง

7. การดื่มน้ำมากๆ

การดื่มน้ำมากๆ ช่วยทำให้ร่างกายชุ่มชื้นและลดความหนืดของเสมหะ ทำให้เสมหะขับออกง่ายขึ้น ควรดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องบ่อยๆ ระหว่างวัน เพื่อรักษาระดับความชุ่มชื้นในร่างกาย

8. พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อร่างกายมีอาการเจ็บป่วย เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาและพลังงานในการฟื้นฟู การนอนพักอย่างเพียงพอจึงช่วยลดอาการไอและฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น

คำถามที่พบบ่อย


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ


ที่มาของข้อมูล

Scroll to Top