ประโยชน์ของมะละกอ

มะละกอ เป็นผลไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นมะละกอดิบตัวชูโรงในเมนูรสแซ่บอย่างส้มตำที่หากินได้ง่ายตั้งแต่ข้างถนนไปจนถึงบนห้างหรู  หรือนำเนื้อดิบมาแกงส้มก็อร่อยไม่น้อย มะลอกอสุกที่นิยมรับประทานเป็นของว่าง หรือล้างปากหลังมื้ออาหารเพราะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น  เพิ่มเส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่ายก็ดีไม่น้อยเช่นกัน  เพราะแท้จริงแล้วนอกจากนี้แล้วมะละกอยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นๆ อีก รวมทั้งยังมีสรรพคุณทางยา ไม่เพียงเฉพาะผลแต่ยังรวมถึงส่วนประกอบอื่นๆ ของต้นด้วย

มีคำถามเกี่ยวกับ มะละกอ? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

คุณค่าทางโภชนาการของมะละกอ

  • มะละกอดิบ ปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 36 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดตประมาณ 8 กรัม ใยอาหารและวิตามินซีสูง สูงกว่ามะละกอสุก
  • มะละกอสุก ปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 43 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดตประมาณ 10.8 กรัม น้ำตาลและวิตามินซี สูงกว่ามะละกอดิบ

มะละกอเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย เช่น คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล สารไลโคปีน ธาตุแมงกานีส ธาตุฟอสฟอรัส สารเบตาแคโรทีน โปรตีน ไขมัน วิตามินเอ  วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 9  วิตามินซี วิตามินอี การทานแบบดิบและสุกจะมีโภชนาการต่างกันบ้างแต่ก็ดีต่อสุขภาพพอกัน

ประโยชน์ของการรับประทานมะละกอ

  1. ช่วยบำรุงประสาท และสมองได้เป็นอย่างดี
  2. ช่วยในการย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากอุดมไปด้วยเอนไซม์ช่วยในการย่อยอาหาร
  3. ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ เนื่องจากมะละกอสุกถือเป็นยาระบายอ่อนๆ
  4. ช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน และยังมีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะได้
  5. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยชะลอวัย และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส

มะละกอดิบ มีสารอาหารต่างจากมะละกอสุกอย่างไร

การทานมะละกอที่ยังดิบ ต่างจากตอนที่สุกพอสมควร โดยมีสารอาหารบางส่วนต่างกันดังนี้

1. เอนไซม์ปาเปน (Papain)

  • มะละกอดิบ: มีปริมาณเอนไซม์ปาเปนสูง ช่วยย่อยโปรตีนและลดการอักเสบ
  • มะละกอสุก: ปริมาณเอนไซม์ปาเปนลดลงเนื่องจากกระบวนการสุกทำให้เอนไซม์ถูกทำลาย

2. วิตามินซี

  • มะละกอดิบ: มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่า เนื่องจากวิตามินซีอาจสลายตัวเมื่อผลไม้สุก
  • มะละกอสุก: วิตามินซีลดลง แต่ยังคงมีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

3. น้ำตาลธรรมชาติ

  • มะละกอดิบ: มีปริมาณน้ำตาลต่ำ รสชาติไม่หวาน
  • มะละกอสุก: มีน้ำตาลธรรมชาติเพิ่มขึ้น ให้พลังงานมากกว่า และมีรสชาติหวาน

4. ใยอาหาร (Fiber)

  • มะละกอดิบ: มีใยอาหารมากกว่า โดยเฉพาะใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยระบบขับถ่าย
  • มะละกอสุก: ใยอาหารชนิดละลายน้ำเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการลดคอเลสเตอรอลและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

5. วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน)

  • มะละกอดิบ: มีเบต้าแคโรทีนในปริมาณต่ำ
  • มะละกอสุก: เบต้าแคโรทีนเพิ่มขึ้น ทำให้มะละกอสุกมีสีส้มสดใส และมีประโยชน์ต่อสุขภาพตา

6. สารต้านอนุมูลอิสระ

  • มะละกอดิบ: มีสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ไม่เท่ามะละกอสุก
  • มะละกอสุก: มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ไลโคปีน ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและมะเร็ง

7. พลังงาน

  • มะละกอดิบ: ให้พลังงานต่ำกว่า เนื่องจากมีน้ำตาลธรรมชาติน้อย
  • มะละกอสุก: ให้พลังงานมากขึ้น เหมาะสำหรับเติมพลังงานระหว่างวัน

ดังนั้น สรุปได้ว่า

  • มะละกอดิบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเอนไซม์ช่วยย่อยและใยอาหารมากกว่า
  • มะละกอสุก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระ

ข้อควรระวัง มะละกอดิบอาจมีสารยาง (latex) ในปริมาณสูง โดยเฉพาะในผลดิบมากเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองในบางคน ควรปรุงสุกหรือบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง

ยางมะละกออันตรายไหม

ยางมะละกอ มีทั้งคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์และอันตรายขึ้นอยู่กับวิธีการใช้และการสัมผัสกับร่างกาย ดังนี้

1. คุณสมบัติของยางมะละกอ

  • ยางมะละกอมีเอนไซม์ชื่อ ปาเปน (Papain) ซึ่งช่วยย่อยโปรตีน และมักถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การทำให้เนื้อนุ่ม หรือการย่อยเนื้อสัตว์
  • ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น ครีมขัดผิว เพราะช่วยผลัดเซลล์ผิว

2. อันตรายจากยางมะละกอ

  • ระคายเคืองผิวหนัง: ยางมะละกอสดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือผื่นแดง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
  • อาการแพ้: ในบางคนอาจเกิดอาการแพ้ เช่น คัน บวม แดง หรือเกิดผื่นเมื่อสัมผัสยาง
  • ระคายเคืองตา: หากยางมะละกอเข้าตา อาจทำให้ตาแสบหรือระคายเคืองรุนแรง
  • อันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร: หากรับประทานในปริมาณมาก ยางมะละกออาจทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารหรือทางเดินอาหาร
  • พิษต่อหญิงตั้งครรภ์: ยางมะละกอสด (จากมะละกอดิบ) อาจกระตุ้นการหดตัวของมดลูก จึงควรหลีกเลี่ยงในระหว่างตั้งครรภ์

คำแนะนำ

  • หากต้องการใช้ยางมะละกอในด้านสุขภาพหรือความงาม ควรใช้ในปริมาณเล็กน้อยและเจือจางในผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสยางมะละกอสดโดยตรง โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่บอบบางหรือตา
  • หากเกิดอาการระคายเคือง ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

ไอเดียการใช้มะละกอเพื่อสุขภาพ

  • เพิ่มน้ำนม สำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการเพิ่มน้ำนมให้ลูกน้อย แนะนำให้กินมะละกอสุก เนื่องจากจะมีส่วนช่วยเพิ่มน้ำนมให้มีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
  • แก้อาการขัดเบา  นำรากสดประมาณ 1 กำมือ กับรากแห้งอีกครึ่งกำมือ จากนั้นนำมาหั่น และต้มกับน้ำ นำมาดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนมื้ออาหารแต่ละมื้อ จะช่วยรักษาอาการขัดเบาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แก้อาการผดผื่นคันบนลำตัว แนะนำให้ใช้ใบ 1 ใบ น้ำมะนาวประมาณ 2 ผล และเกลือประมาณ 1 ช้อนชา นำวัตถุดิบทั้งหมดมาตำให้ละเอียด จากนั้นเอาไปทาที่บริเวณที่มีผดผื่นคัน วิธีนี้ช่วยให้อาการดังกล่าวค่อยๆ หายไป และดีขึ้นตามปกติ
  • ช่วยฆ่าเชื้อราบริเวณแผล นำยางจากมะละกอดิบมาทาบริเวณที่เป็นกลาก เกลื้อน และเท้าเปื่อย ทาวันละประมาณ 3 ครั้ง จะช่วยฆ่าเชื้อราที่อยู่บริเวณที่เป็นแผลได้เป็นอย่างดี
  • ช่วยรักษาแผลพุพอง อักเสบ นำใบแห้งมาบดให้เป็นผง ผสมน้ำกะทิ ผสมให้เข้ากันพอเหนียวแล้วนำมาทาแผลวันละ 3 ครั้ง
  • ช่วยลดอาการปวดบวม นำใบสดมาย่างไฟ หรือลวกด้วยน้ำร้อน จากนั้นนำมาประคบบริเวณที่มีอาการปวดบวมจะช่วยลดอาการได้ดี หรือจะนำใบมะละกอสดมาตำให้พอหยาบแล้วนำมาห่อด้วยผ้าขาวบางสะอาด ทำเป็นลูกประคบก็ได้เช่นเดียวกัน
  • ช่วยให้หน้าใส นำเนื้อสุกนำมาผสมกับนมสดและน้ำผึ้ง นำมาปั่นให้เข้ากันจนละเอียด จากนั้นเอามาทาบริเวณผิวหน้าและผิวกายตามต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้ถือเป็นการทรีทเมนท์หน้าใสได้อย่างปลอดภัย และเห็นผลได้อย่างชัดเจน

ข้อควรระวังในการทานมะละกอ

  1. ควรเลือกมะละกอที่มีคุณภาพ มีผิวสีเหลืองบางส่วน หรือเหลืองทั้งหมด และผลของมะละกอตรงบริเวณขั้วที่ติดกับลำต้นไม่ควรนิ่มเหลว
  2. ไม่ควรรับประทานมะละกอที่ดิบจนเกินไป ซึ่งผลที่ดิบเกินไปจะมีเปลือกนอกสีเขียว และมีเนื้อที่แข็งมาก
  3. ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะเสี่ยงต่อการทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ เช่น ผิวเหลือง เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ
  4. หลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับยางมะละกอ เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาต่อผิวหนังได้
  5. สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะละกอเพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า สารเคมีพาเพนที่อยู่ในมะละกออาจเป็นพิษต่อทารกน้อยในครรภ์ได้ รวมทั้งอาจทำให้เกิดภาวะพิการแต่กำเนิด
    ดังนั้นหากคุณแม่ตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อปลอดภัยทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์
  6. สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระมัดระวังในการรับประทานมะละกอ เพราะอาจส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดได้ ดังนั้นก่อนรับประทานมะละกอ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเช็ค และควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  7. ผู้ที่มีอาการแพ้สารพาเพน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะละกอ เนื่องจากในมะละกอจะมีสารชนิดนี้อยู่
  8. ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดไม่ควรรับประทานมะละกอ โดยเฉพาะมะละกอที่ผ่านการดอง อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้ ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระหว่าง และหลังการผ่าตัด ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานมะละกออย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด

แม้การรับประทานมะละกอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากมาย  แต่ต้องรับประทานอย่างเหมาะสม ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เพราะแทนที่จะส่งผลดีต่อสุขภาพอาจกลายเป็นผลเสียต่อร่างกาย และทำให้เกิดอันตรายต่างๆ ตามมาได้

มีคำถามเกี่ยวกับ มะละกอ? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ