วิตามิน มีทั้งหมด กี่ประเภท กี่ชนิด? แตกต่างกันอย่างไร?

ร่างกายของคนเราจำเป็นต้องรับสารอาหารที่ครบถ้วนเพื่อให้มีพละกำลังพอสำหรับการดำเนินชีวิตแต่ละวัน แต่นอกเหนือจากสารอาหาร แร่ธาตุ และวิตามินบำรุงร่างกายต่างๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น จึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินแต่ละชนิดไว้ เพื่อจะได้รู้ว่าวิตามินมีความสำคัญ และมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายของคุณบ้าง

มีคำถามเกี่ยวกับ วิตามิน? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ความหมาย และความสำคัญของวิตามิน

วิตามิน คือ หนึ่งในสารอาหาร 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย แต่ขาดไม่ได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า “สารอาหารรอง (Micronutrients)” ไม่ได้เป็นตัวที่ให้พลังงานโดยตรงแก่ร่างกายเหมือนสารอาหารหลัก (Macronutrients) เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน

ถึงวิตามินจะเป็นสารอาหารรอง แต่ก็มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นส่วนที่ทำให้กระบวนการของระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ ซึ่งร่างกายของเรานั้นไม่สามารถสร้างวิตามินได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร หรืออาหารเสริมเท่านั้น

ประเภทของวิตามิน

วิตามินสามารถแบ่งออกตามคุณสมบัติการละลายและการดูดซึมได้ 2 ประเภท ดังนี้

1. วิตามินที่ละลายในน้ำ

วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ กลุ่มวิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินประเภทนี้สามารถละลายได้ดีในน้ำ เมื่อรับประทานวิตามินประเภทนี้เข้าไปจะถูกดูดซึมอยู่ในร่างกาย 2-4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการใช้งานจะถูกขับออกทางปัสสาวะ หรือเหงื่อ

เนื่องจากวิตามินประเภทนี้ละลายน้ำได้ดี จึงทำให้โอกาสสะสมในร่างกายมีน้อย และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง จึงจำเป็นที่ร่างกายต้องได้รับวิตามินเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอทุกๆ วัน

มีคำถามเกี่ยวกับ วิตามิน? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

2. วิตามินที่ละลายในไขมันหรือน้ำมัน 

วิตามินที่ละลายในไขมันหรือน้ำมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี เค (A Dวิตามินประเภทนี้จะละลายได้ดีในไขมัน หรือน้ำมันเท่านั้น เมื่อร่างกายดูดซึมไปใช้ส่วนที่เหลือจากการใช้งานจะถูกกักเก็บไว้ตามกล้ามเนื้อ หรือไขมันในร่างกาย ไม่สามารถขับออกมาทางปัสสาวะได้

ดังนั้นหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป หรือได้รับติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะเกิดการเก็บสะสมไว้ในร่างกาย และส่งผลเสียต่อร่างกายได้

ประโยชน์ของวิตามินต่างๆ

วิตามินเอ

  • วิตามินเอประกอบด้วยสารสำคัญ 2 ชนิด ได้แก่ “เรตินอล (Retinal)” และ “แคโรทีน (Carotene)”
  • มีส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมการสร้างกระดูก และฟัน
  • ช่วยในการบำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้นในเวลากลางคืน
  • ช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี ช่วยลดการอักเสบของสิว ลดรอยจุดด่างดำ
  • ช่วยส่งเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 900 ไมโครกรัมในผู้ชาย และ 700 ไมโครกรัมในผู้หญิง อย่างไรก็ตาม ไม่ควรได้รับเกิน 3,000 ไมโครกรัม

วิตามินบี 1

  • วิตามินบี 1 ประกอบด้วยสารสำคัญอย่าง “ไทอะมีน (Thiamin)” ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนสำคัญในการสร้างพลังงานแก่ร่างกาย
  • มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมระบบการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการนำกระแสประสาท
  • ช่วยเพิ่มการเผาผลาญสารอาหารโดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรต
  • ช่วยบำรุงผิว เส้นผม และสมอง ป้องกันโรคเหน็บชา
  • อาการของผู้ที่ขาดวิตามินบี 1 คือ เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ปวดกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว มีอาการเหน็บชาตามมือ และเท้า
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 1.5 มิลลิกรัม

วิตามินบี 2

  • วิตามินบี 2 ประกอบด้วยสารสำคัญ “ไรโบฟลาวิน (Riboflavin)”
  • ช่วยในการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
  • เสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม ช่วยบำรุงผิว
  • ช่วยบำรุงระบบไหลเวียนเลือด และสมอง
  • บำรุงการทำงานของสายตา โดยเฉพาะบริเวณเรตินาของลูกตา
  • ถ้าขาดวิตามิน และแร่ธาตุตัวนี้ อาจทำให้เป็นโรคปากนกกระจอกได้
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ 1.2 มิลลิกรัม

วิตามินบี 5 

  • วิตามินบี 5 ประกอบด้วยสารสำคัญอย่าง “กรดแพนโทธานิก (Pantothanic acid)”
  • ช่วยให้ระบบเผาผลาญสารอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เสริมสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นโมเลกุลโปรตีนภายในเซลล์เม็ดเลือดแดง
  • เป็นส่วนสำคัญของฮอร์โมน และสารสื่อประสาทที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ
  • หากขาดวิตามินชนิดนี้ มักก่อให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนที่เท้า (Burning feet) และอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ปวดท้อง
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ 6 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินบี 6

  • วิตามินบี 6 ประกอบด้วยสารสำคัญอย่าง “ไพริด็อกซิน (Pyridoxine)” ซึ่งเป็นสารสำคัญในด้านการบำรุงเม็ดเลือดแดง
  • เป็นวิตามินสำคัญที่ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
  • มีส่วนช่วยในการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีน
  • บำรุงให้ผิวหนังมีสุขภาพดี
  • ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
  • เป็นตัวตัวช่วยในการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทซึ่งเกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ความอยากอาหาร และอารมณ์
  • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
  • ถ้าขาดวิตามินบี 6 จะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง และอาจเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันได้
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ ไม่ควรเกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินบี 12

  • วิตามินบี 12 ประกอบด้วยสารสำคัญ “ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin)”
  • ช่วยให้ร่างกายนำคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างเม็ดเลือดแดง
  • ป้องกันโรคหัวใจ
  • ช่วยในการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามินบี 12 พบได้ในตับ นม ไข่ และเนย
  • ปริมาณวิตามิน 12 ที่ร่างกายต้องการ คือ ประมาณวันละ 2.4 ไมโครกรัม

วิตามินซี

  • วิตามินซี ประกอบด้วยสารสำคัญอย่าง “กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid)”
  • เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหนัง และเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น ผนังหลอดเลือด ช่วยสมานแผล
  • ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดี ดูกระจ่างใสขึ้น
  • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
  • กระตุ้นทำให้เกิดการสร้างกระดูก และฟัน
  • ปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือ 60 มิลลิกรัม แต่ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม

วิตามินดี

  • ช่วยควบคุมการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย ส่งเสริมการสร้างกระดูก และฟัน ป้องกันโรคกระดูกพรุน และโรคกระดูกบาง
  • ถ้าขาดวิตามินดีจะทำให้ปวดเมื่อย และเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
  • ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าและตอนเย็น ดังนั้นจึงควรสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ อย่างน้อยวันละ 15-20 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง
  • อาหารที่สามารถพบวิตามินดีได้มาก คือ นม ไข่ น้ำมันตับปลา หรือเนื้อปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า หรือจากอาหารเสริม
  • ปริมาณวิตามินดีที่ร่างกายต้องการ คือ วันละ 5 ไมโครกรัม และไม่ควรเกินวันละ 50 ไมโครกรัม

วิตามินอี

  • เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์
  • กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และกล้ามเนื้อ
  • ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้า และอ่อนเพลีย
  • บำรุงทำให้สุขภาพผิวดียิ่งขึ้น
  • ร่างกายควรได้รับในปริมาณที่ไม่เกิน 1,000 ไมโครกรัมต่อวัน

วิตามินเค

  • ส่วนประกอบสำคัญในการแข็งตัวของเลือด ในเด็กที่วิตามินเคในเลือดต่ำจะมีอาการเลือดออกผิดปกติ หากขาดวิตามินเคจะส่งผลให้เลือดออกง่าย หรือเลือดไหลแล้วหยุดช้า
  • ปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ คือ 80 ไมโครกรัมต่อวัน

วิตามินแต่ละชนิดมีความจำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากมีส่วนสำคัญต่อการทำงานทุกระบบภายในร่างกาย ทั้งนี้ต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสม โดยแนะนำให้รับประทานวิตามินที่สกัดมาจากธรรมชาติซึ่งจะดีกว่าวิตามินสังเคราะห์

อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย เพียงแค่นี้ก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจวิตามิน

มีคำถามเกี่ยวกับ วิตามิน? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ