ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แปลงน้องชายให้เป็นน้องสาว ทำอย่างไร

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แปลงน้องชายให้เป็นน้องสาว มักเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเปลี่ยนจากชายเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์

หลังจากที่ผ่านการผ่าตัดอวัยวะแสดงทางเพศอื่นๆ เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนเสียง การกรอกระเดือก การศัลยกรรมรูปหน้าให้เหมือนผู้หญิง หรือการเสริมหน้าอก เรียบร้อยแล้ว

โดยการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงมีเทคนิคในการสร้างช่องคลอดเทียมหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกัน

สำหรับใครที่สนใจแปลงเพศชายเป็นหญิง แล้วกำลังมองหาข้อมูลเปรียบเทียบเทคนิคการแปลงเพศชายเป็นหญิงในรูปแบบต่างๆ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด HDmall.co.th หาคำตอบมาให้คุณแล้ว

สารบัญ

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง คืออะไร มีกี่วิธี?

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง คือการผ่าตัดเพื่อตกแต่งอวัยวะเพศชายให้มีรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศหญิง ทั้งภายนอกและภายใน แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลักๆ ได้แก่

  1. การสร้างอวัยวะเพศภายนอกให้เหมือนผู้หญิง ประกอบด้วย แคมนอก (Major labia) แคมใน (Minor labia) ท่อปัสสาวะ และปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ หรือที่เรียกว่า “คลิตอริส (Clitoris)” ให้สวยงามเหมือนผู้หญิง
  2. การสร้างช่องคลอดใหม่ มีหลายเทคนิคในการสร้างช่องคลอดเทียม แต่ละเทคนิคมีข้อดี-ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน จึงทำให้การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงในแต่ละคนแตกต่างกันตามไปด้วย มี 4 เทคนิค ได้แก่
    • การสร้างช่องคลอด โดยใช้ผิวหนังจากองคชาต หรือเรียกว่า “เทคนิคการใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ”
    • การสร้างช่องคลอด โดยใช้ผิวหนังจากองคชาต ร่วมกับผิวหนังจากถุงอัณฑะ หรือจากที่อื่นๆ มาทำเป็นผนังช่องคลอด
    • การสร้างช่องคลอด โดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังช่องคลอด หรือเรียกว่า “เทคนิคต่อลำไส้”
    • การสร้างช่องคลอด โดยใช้ผนังหน้าท้อง ร่วมกับผิวหนังจากองคชาต

ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง อวัยวะเพศชายส่วนไหนบ้างที่ถูกนำไปสร้างเป็นอวัยวะเพศหญิง?

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ในขั้นตอนการสร้างอวัยวะเพศภายนอก แพทย์จะศัลยกรรมเปลี่ยนรูปร่างและโครงสร้างของอวัยวะเพศชายให้กลายเป็นอวัยวะเพศหญิง โดยแต่ละส่วนจะถูกนำไปสร้างเป็นส่วนประกอบของอวัยวะเพศหญิงที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ปลายหัวขององคชาต จะถูกนำไปทำปุ่มรับความรู้สึก หรือที่เรียกว่า “คลิตอริส” ทำให้ยังคงมีความรู้สึกทางเพศเหมือนเดิม
  • หนังหุ้มปลายองคชาต จะถูกนำไปทำแคมใน ทั้งนี้ในผู้ที่เคยขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย จะทำให้แคมในสั้นลง และมีสีไม่เหมือนธรรมชาติ
  • ผิวหนังโคนองคชาตและผิวหนังถุงอัณฑะ จะถูกนำไปทำแคมนอก
  • หัวองคชาตและหนังท่อปัสสาวะ จะถูกนำไปทำท่อปัสสาวะและเนื้อเยื่อรอบๆ โดย​​แพทย์จะตัดท่อปัสสาวะให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้สามารถปัสสาวะพุ่งลงเหมือนผู้หญิง
  • ผิวหนังองคชาต หรือผิวหนังถุงอัณฑะ จะถูกนำไปทำสร้างผนังช่องคลอด หากไม่เพียงพอ แพทย์จะนำเนื้อเยื่อบริเวณอื่นๆ มาเพิ่ม เช่น เนื้อเยื่อจากบริเวณต้นขา ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย หรือเนื้อเยื่อบุช่องท้อง ขึ้นอยู่กับเทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียมที่เลือกทำ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการสร้างช่องคลอดเทียมในผู้ที่แปลงเพศชายเป็นหญิง

การสร้างช่องคลอดเทียม แพทย์จะเจาะบริเวณกล้ามเนื้อที่อยู่ระหว่างทวารหนักกับท่อปัสสาวะ แล้วเลาะโพรงเข้าไปจนใกล้กับเยื่อบุช่องท้อง

โดยความลึกและความกว้างของช่องคลอด จะขึ้นอยู่กับสรีระและโครงสร้างของกระดูกเชิงกรานในแต่ละบุคคล ซึ่งในคนเอเชียจะมีความลึกของช่องคลอดอยู่ที่ประมาณ 5-6 นิ้ว

หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ความลึกของช่องคลอดขึ้นอยู่กับขนาดของอวัยวะเพศเดิม ซึ่งไม่เป็นความจริง ขนาดของอวัยวะเพศเดิมนั้น จะส่งผลต่อปริมาณของเนื้อเยื่อที่ใช้บุผนังช่องคลอดมากกว่า

โดยเฉพาะในผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงแบบดั้งเดิม หรือเทคนิคผิวหนังองคชาตม้วนกลับ ที่ใช้ผิวหนังขององคชาตและถุงอัณฑะในการบุผนังช่องคลอดนั่นเอง

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย เทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียม แต่ละวิธี มีความแตกต่างกันอย่างไร?

การแปลงเพศชายเป็นหญิง มีเทคนิคในการสร้างช่องคลอดใหม่ 4 วิธี ซึ่งผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงจะต้องเข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษา และเลือกเทคนิคการสร้างช่องคลอดใหม่ที่เหมาะสมกับตนเอง ได้แก่

1.เทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียม โดยใช้ผิวหนังจากองคชาต

การสร้างช่องคลอดเทียม โดยใช้ผิวหนังจากองคชาต หรือที่เรียกว่า “เทคนิคการใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ” เป็นวิธีการแปลงเพศชายเป็นหญิงมาตรฐาน โดยแพทย์จะนำเอาผิวหนังขององคชาตสอดกลับเข้าไปตกแต่งทำเป็นช่องคลอด

ข้อดี

  • เป็นวิธีที่ทำง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ​ 4 ชั่วโมง และนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 4 คืน
  • ภาวะแทรกซ้อนต่ำ เพราะไม่รบกวนต่ออวัยวะในช่องท้อง
  • ไม่เสี่ยงเป็นแผลเป็นนูนบนหน้าท้อง

ข้อจำกัด

  • ความลึกของช่องคลอดจะเท่ากับความยาวของหนังที่หุ้มองคชาต ลบ 1 นิ้ว จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีความยาวขององคชาตสั้นกว่า 4 นิ้ว เพราะจะทำให้ช่องคลอดไม่ลึก
  • โอกาสช่องคลอดจะตื้นและตีบตันสูง ต้องใส่วัสดุขยายช่องคลอดเทียมอย่างสม่ำเสมอ
  • ผิวหนังองคชาตเป็นเนื้อเยื่อชนิดไม่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ ทำให้ไม่มีสารหล่อลื่น จึงต้องใช้เจลหล่อลื่นเพื่อช่วยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง

2.เทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียม โดยใช้ผิวหนังจากองคชาต ร่วมกับผิวหนังจากถุงอัณฑะ และผิวหนังจากที่อื่นๆ มาทำเป็นผนังช่องคลอด

หรือที่เรียกว่า “การแปลงเพศชายเป็นหญิงด้วยเทคนิคกราฟต์ (Graft)” เป็นเทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียม โดยใช้ผิวหนังจากองคชาตที่ต่อด้วยผิวหนังจากถุงอัณฑะมาทำเป็นผนังช่องคลอด เพื่อเพิ่มความลึกของช่องคลอดเทียม

อย่างไรก็ตาม หากต่อด้วยผิวหนังจากถุงอัณฑะแล้ว ยังได้ความลึกไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้เข้ารับการผ่าตัด แพทย์อาจพิจารณานำผิวหนังจากที่อื่นๆ เช่น ต้นขา ขาหนีบ หรือหน้าท้อง มาต่อเพิ่มความลึกอีกได้

ข้อดี

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีความยาวขององคชาตสั้นกว่า 4 นิ้ว แล้วต้องการช่องคลอดที่ลึก
  • มีโอกาสได้ช่องคลอดลึกถึง 6 นิ้ว

ข้อจำกัด

  • ผิวหนังที่ใช้ทำผนังช่องคลอดเป็นเนื้อเยื่อชนิดไม่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ ทำให้ไม่มีสารหล่อลื่น จึงต้องใช้เจลหล่อลื่นเพื่อช่วยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
  • โอกาสช่องคลอดจะตื้นและตีบตันสูง ต้องใส่วัสดุขยายช่องคลอดเทียมอย่างสม่ำเสมอ
  • ในกรณีที่ใช้ผิวหนังจากบริเวณอื่นๆ เช่น ต้นขา ขาหนีบ หรือหน้าท้อง จะเพิ่มแผลผ่าตัดขึ้น 1 จุด
  • ขั้นตอนการผ่าตัดซับซ้อนกว่าวิธีแรก ทำให้ใช้เวลาผ่าตัดและพักฟื้นนานขึ้น โดยใช้ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ​ 6 ชั่วโมง และนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 6 คืน

3.เทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียม โดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังช่องคลอด

หรือที่เรียกว่า “เทคนิคต่อลำไส้ (Colon Graft)” โดยแพทย์จะผ่าตัดลำไส้ใหญ่ส่วนปลายออกมา ประมาณ 7-8 นิ้ว มาสร้างเป็นผนังช่องคลอด โดยเทคนิคในการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกมาจะมีทั้งการผ่าตัดแบบเปิดแผลหน้าท้อง และการผ่าตัดแบบใช้กล้อง

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการได้ช่องคลอดที่ลึกมาก และมีความเป็นธรรมชาติเหมือนผู้หญิงมากที่สุด เพราะลำไส้ใหญ่เป็นเนื้อเยื่อชนิดที่มีเยื่อกเมือกธรรมชาติ จึงทำให้ผนังช่องคลอดเทียมมีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติตามไปด้วย

นอกจากนี้การใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังเยื่อบุช่องคลอด ยังสามารถทำในผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศมาแล้ว แต่มีปัญหาช่องคลอดตีบตันจนทำให้ไม่สามารถร่วมเพศได้อีกด้วย

ข้อดี

  • เนื้อเยื่อสามารถผลิตเมือกได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ผิวด้านในช่องคลอดเสมือนจริงกว่า และมีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องใช้เจลหล่อลื่นช่วยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการช่องคลอดลึก และและมีความเป็นธรรมชาติเหมือนผู้หญิงมากที่สุด
  • สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาการตีบตันช่องคลอด ในผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ

ข้อจำกัด

  • มีความเสี่ยงมากกว่าการทำผนังเยื่อบุช่องคลอดด้วยเนื้อเยื่อชนิดไม่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ เพราะต้องผ่าตัดต่อลำไส้ภายในช่องท้อง เช่น เกิดการอักเสบภายในช่องท้อง หรือเกิดการรั่วของรอยต่อลำไส้ซึ่งอาจเกิดการติดเชื้อในช่องท้องรุนแรงได้
  • ผู้ที่เป็นโรคในกลุ่มลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ หรือมีกระเปาะที่ลำไส้ ไม่สามารถทำได้
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก หน้าท้องหนา หรือมีค่า BMI เกิน 28.5 อาจไม่สามารถทำวิธีนี้ได้
  • หลังผ่าตัด อาจมีอาการท้องอืด 2-3 วัน
  • ในกรณีที่ผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง จะมีแผลบนหน้าท้อง และอาจเกิดคีลอยด์ได้
  • การผ่าตัดมีความยุ่งยากซับซ้อน และใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน โดยใช้ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ 7 ชั่วโมง
  • ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อผ่าตัดเอาส่วนของสำไส้ใหญ่ออกมา โดยจะต้องสวนล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาดก่อนผ่าตัด 1 วัน

4.เทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียม โดยใช้ผนังหน้าท้องร่วมกับผิวหนังจากองคชาต

เป็นเทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียมที่ผสมผสานระหว่างการใช้เนื้อเยื่อช่องท้องร่วมกับผิวหนังจากองคชาตในการบุผนังช่องคลอด ทำให้ได้ช่องคลอดที่มีความลึก ประมาณ ประมาณ 6-6.5 นิ้ว

และในขณะเดียวกันเนื้อเยื่อช่องท้องยังเป็นเนื้อเยื่อชนิดที่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ จึงทำให้ผนังช่องคลอดมีความธรรมชาติคล้ายกับการทำด้วยเทคนิคแบบต่อลำไส้ด้วย

โดยเทคนิคในการผ่าตัดนำเนื้อเยื่อช่องท้องออกมาจะมีทั้งการผ่าตัดแบบเปิดแผลหน้าท้อง และการผ่าตัดแบบใช้กล้อง ขึ้นอยู่กับความถนัดของแพทย์

ข้อดี

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีความยาวขององคชาตสั้นกว่า 4 นิ้ว แล้วต้องการช่องคลอดที่ลึก แต่ไม่ต้องการทำด้วยเทคนิคต่อลำไส้ โดยช่องคลอดจะมีความลึกมากกว่าแบบต่อกราฟ แต่ลึกน้อยกว่าลำไส้
  • เนื้อเยื่อสามารถผลิตเมือกได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ผิวด้านในช่องคลอดเสมือนจริงกว่า และมีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องใช้เจลหล่อลื่นช่วยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
  • สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาการตีบตันช่องคลอด ในผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ
  • ไม่มีข้อจำกัดเหมือนกับการแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้

ข้อจำกัด

  • แพทย์จะใช้บริเวณของอัญฑะส่วนล่าง ตำแหน่งที่อยู่เหนือทวารหนัก มาทำเป็นผนังด้านล่างของช่องคลอดหลังแปลงเพศ ซึ่งเป็นส่วนที่มีขน ถ้าอยู่ในช่องคลอดจะทำความสะอาดได้ยาก และไม่เป็นธรรมชาติ จึงควรกำจัดขนโดยใช้เลเซอร์ก่อนการแปลงเพศ ประมาณ 3-4 ครั้ง
  • มีความซับซ้อนในการผ่าตัดมากกว่าเทคนิคอื่น จึงจำเป็นต้องใช้แพทย์ผู้มีความชำนาญการสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ใช้ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ 4-6 ชั่วโมง
  • หลังผ่าตัด อาจมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือไม่สบายท้อง ประมาณ 3-5 วัน
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก หน้าท้องหนา หรือมีค่า BMI เกิน 28.5 อาจไม่สามารถทำวิธีนี้ได้
  • ในกรณีที่ผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง จะมีแผลบนหน้าท้อง และอาจเกิดคีลอยด์ได้

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง จะเลือกเทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียมแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความต้องการของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด ขนาดของอวัยวะเพศเดิม งบประมาณ และการประเมินของแพทย์ จึงไม่สามารถตอบได้ว่าวิธีไหนเหมาะกับใครที่สุด

ดังนั้นผู้ที่ต้องการแปลงเพศชายเป็นหญิงจึงควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เพื่อวางแผนการรักษา และเลือกเทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียมที่เหมาะสมกับตนเอง


เปรียบเทียบแพ็กเกจและราคาแปลงเพศชายเป็นหญิง

Scroll to Top