โรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกติมักพบในวัยกลางคนถึงวัยอายุมาก
เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบมากที่สุด เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งน้ำตาลกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ที่ได้จากการรับประทานอาหาร และถูกนำเข้ามาโดยฮอร์โมนอินซูลินที่สร้างจากตับอ่อน
ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายจะไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอกับความต้องการ หรือไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง และเซลล์ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้
สารบัญ
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2
คุณสามารถเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ทุกช่วงอายุ แม้ว่าจะเป็นวัยเด็กก็ตาม อย่างไรก็ตามเบาหวานชนิดที่ 2 จะพบได้มากที่สุดในช่วงอายุวัยกลางคนจนถึงผู้ที่มีอายุมาก คุณจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าปกติถ้าคุณมีปัจจัย ดังนี้
- อายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
- เป็นโรคอ้วน หรือน้ำหนักเกิน
- ผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- การขาดการออกกำลังกายและปัญหาทางสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง
- ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะก่อนเป็นเบาหวาน
- เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่
- กระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อย
- หิวบ่อย
- รู้สึกอ่อนเพลีย มึนเบลอ
- สายตาพร่ามัว
- อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย
- ชาหรือรู้สึกเสียวตามมือ หรือเท้า
- มีแผลที่ไม่หายขาด
- น้ำหนักลดแบบหาสาเหตุไม่ได้
จะเห็นได้ว่าอาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถถูกเข้าใจผิดว่าว่าเจ็บป่วยเป็นโรคอื่น หรือเป็นเพียงความอ่อนเพลียทางร่างกายเท่านั้น เพราะอาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักเกิดอย่างช้าๆ และคุณอาจมีอาการแสดงออกเพียงทีละเล็กน้อย ซึ่งอาจไม่สามารถสังเกตเห็นได้ มีผู้ป่วยจำนวนมากไม่มีอาการใดๆ และบางคนไม่เคยตรวจร่างกายเพื่อหาโรคเบาหวานเลย จนกระทั่งเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น เช่น ตามองภาพไม่ชัด หรือโรคหัวใจ
นอกจากนี้ยังมีอาการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วย เช่น เหงือกติดเชื้อ การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ (โดยเฉพาะในผู้หญิง) การติดเชื้อที่เท้า
อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ชาย
โดยทั่วไปแล้ว อาการแสดงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะเหมือนกันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย อย่างไรก็ตาม จากรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า 20-75% ของผู้ชายที่เป็นโรคเบาหวานชนิดใดๆ มักจะเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (ED) หรือการที่องคชาตไม่สามารถแข็งตัวได้
นักวิจัยเชื่อว่าโรคเบาหวานก่อให้เกิดปัญหาทางเพศในผู้ชาย ซึ่งเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติของร่างกายที่ควบคุมการไหลเวียนต่างๆ นั้นถูกทำลาย ถ้าคุณมีอาการแสดงของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ นั่นอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณเป็นโรคเบาหวาน
อีกหนึ่งโรคทางเดินปัสสาวะที่เกี่ยวข้องกับเบาหวานในผู้ชายคือ การหลั่งน้ำอสุจิย้อนกลับเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ (retrograde ejaculation) อาการแสดงที่พบได้ คือน้ำอสุจิลดลงระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ
อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้หญิง
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเกี่ยวข้องกับเชื้อราที่เพิ่มขึ้นในช่องคลอดของผู้หญิง เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เชื้อราและแบคทีเรียจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปด้วย ทำให้ผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นตกขาวจากการติดเชื้อราในช่องคลอด ซึ่งตกขาวในช่องคลอดนั้นจะนำไปสู่การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ
การวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2
สมาคมโรคเบาหวานแนะนำให้ทุกคนตรวจคัดกรองโรคเบาหวานเมื่ออายุเข้าสู่ 45 ปี คนที่มีปัจจัยเสี่ยงนอกจากอายุ ควรได้รับการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ โดยแพทย์จะวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการเจาะเลือดเพื่อไปตรวจ ซึ่งการเจาะเลือดที่นิยมใช้จะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ และมีวิธีการตรวจโรคเบาหวานอื่นๆอีกต่อไปนี้
1. การวัดระดับกลูโคสในพลาสมา
การตรวจเลือดชนิดนี้จะมีขึ้นหลังจากคุณอดอาหารเป็นเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงแล้ว โดยปกติจะตรวจเลือดในตอนเช้าก่อนช่วงอาหารเช้า การตรวจชนิดนี้จะช่วยวินิจฉัยโรคเบาหวาน และภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นภาวะเมื่อระดับกลูโคสสูง แต่ยังไม่สูงพอที่จะวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคเบาหวาน
ปริมาณน้ำตาลในเลือดของคุณสามารถบ่งชี้ว่าคุณเป็นโรคเบาหวานหรือไม่
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่เกิน 99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL.) ถือว่าอยู่ในระดับปกติ
- ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับ 100-125 mg/dL จะถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (ภาวะของคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับที่จัดว่าเป็นเบาหวาน)
- ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ 126 mg/dL. หรือสูงกว่า จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
2. การตรวจ HbA1c
มีอีกชื่อที่เรียกกันว่าการตรวจ “A1C” หรือการตรวจ hemoglobin A1c การตรวจชนิดนี้ประเมินระดับกลูโคสของคุณ ว่าได้รับการควบคุมดีระดับไหนจากช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรไปรับผลตรวจ A1C อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะเป็นการตรวจประเภทที่วัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีที่สุด
ผู้ที่มีผลตรวจบ่งชี้ว่ามีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยง 40% ของการพัฒนาที่จะเป็นโรคเบาหวานภายในระยะเวลา 5 ปี ถ้าพวกเขาไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต และสุขภาพโดยรวม
3. การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส (OGTT)
การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส เป็นอีกหนึ่งการตรวจเบาหวานที่จะทขึ้นหลังจากที่คุณอดอาหารมาเป็นเวลาประมาณ 8 ชั่วโมง การตรวจชนิดนี้มักใช้เพื่อตรวจโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes) โดยนักเทคนิคจะเก็บเอาตัวอย่างผลเลือดของคุณ และหลังจากนั้นจะให้คุณดื่มเครื่องดื่มน้ำตาลที่มีกลูโคส 75 มก. ผสมอยู่ หลังจากที่คุณดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้ คุณจะถูกวัดระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมงหลังจากนั้นเ พื่อวัดปฏิกิริยาของอินซูลินต่อเครื่องดื่ม การตรวจชนิดนี้สามารถวินิจฉัยได้ทั้งโรคเบาหวาน และภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
ผลของการวัดภาวะความทนทานต่อน้ำตาลกลูโคสที่เป็นไปได้มีดังต่อไปนี้
- 139 mg/dL หรือต่ำกว่าในเวลา 2 ชั่วโมงหลังจากการตรวจ ถือว่าน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ
- 140-199 mg/dL ถือว่ามีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (ความทนทานของกลูโคสผิดปกติ)
- 200 mg/dL หรือสูงกว่า จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน(แต่แพทย์ประจำตัวของคุณอาจให้คุณตรวจอีกรอบในวันถัดไป เพื่อยันยันผลนี้)
4. การสุ่มวัดระดับกลูโคสในพลาสมา
การตรวจวิธีอาจทำเมื่อไหร่ก็ได้เพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ไม่แม่นยำพอที่จะวินิจฉัยภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน แต่ก็สามารถนำได้สู่การวินิจฉัยโรคเบาหวานถ้าน้ำตาลในเลือดของคุณอยู่ที่ 200 mg/dL เป็นอย่างน้อย และมีอาการแสดงอื่นๆ เช่น
- ปัสสาวะมากขึ้น
- ดื่มมากกว่าปกติ
- น้ำหนักตัวลดลงโดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจ
แต่โดยทั่วไปแล้ว การวินิจฉัยโรคเบาหวานมักจะได้รับการยืนยันจากการวัดระดับกลูโคสในพลาสมา การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส หรือการตรวจ HbA1c เป็นส่วนใหญ่
วิธีการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2
วิธีจัดการเกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีดังนี้
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับความดันโลหิต และระดับไขมันคอเลสเตอรอล
- เลิกสูบบุหรี่
- ปรับแผนการรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ จำกัดปริมาณพลังงานที่ได้รับต่อวัน (หากมีน้ำหนักเกิน)
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานยารักษาโรคเบาหวานตามคำแนะนำของแพทย์ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้ดูแลคุณเพื่อร่วมกันวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ
ยารักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ในระหว่างการรักษาโรคเบาหวาน คุณอาจจำเป็นต้องได้รับยารักษาร่วมด้วย ซึ่งยามีทั้งแบบรับประทาน และแบบฉีดใต้ผิวหนัง ได้แก่ ยาฉีดอินซูลิน ซึ่งบางครั้งคุณอาจจำเป็นต้องได้รับยารักษาโรคเบาหวานมากกว่าหนึ่งชนิด
และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้รับการรักษาด้วยอินซูลิน แต่ในบางภาวะคุณอาจจำเป็นต้องใช้ยาอินซูลิน เช่น ระหว่างการตั้งครรภ์ หรือระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นต้น นอกจากนี้คุณอาจจำเป็นต้องได้รับยารักษาโรคร่วมอื่นๆ ที่เป็นด้วย เช่น ยาสำหรับโรคความดันโลหิตสูง ยาสำหรับคอเลสเตอรอลสูง หรือภาวะอื่นๆ ที่เป็นร่วมด้วย
โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
หากคุณไม่ได้รักษาโรคเบาหวานที่ดีพอ หรือไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด จะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น
- โรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง
- เส้นประสาทถูกทำลาย
- โรคไต
- ปัญหาที่เท้า แผลที่เท้า
- โรคตา มองภาพไม่ชัด
- โรคเหงือก และปัญหาในช่องปากอื่นๆ
- ปัญหาทางระบบสืบพันธุ์ และกระเพาะปัสสาวะ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หลายรายยังมี “โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์” (nonalcoholic fatty liver disease) ร่วมด้วย หากคุณมีน้ำหนักเกินหรืออ้วน การลดน้ำหนัก จะช่วยให้อาการของไขมันพอกตับดีขึ้น และโรคเบาหวานยังสัมพันธ์กับโรคอื่นๆ อีก ได้แก่
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ซึมเศร้า
- มะเร็งบางชนิด
- ภาวะสมองเสื่อม (dementia)
วิธีลดโอกาสต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ลดน้ำหนัก
ถ้ามีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักลง 5-7% ของน้ำหนักตัวจะช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานได้ เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 90 กิโลกรัม คุณจะต้องลดน้ำหนักลงให้ได้ประมาณ 4.5–6.3 กิโลกรัม
ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เช่น เดิน อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ ในช่วงแรกคุณสามารถปรึกษาทีมแพทย์ของคุณ เพื่อวางแผนการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคุณ โดยเริ่มช้าๆ และค่อยๆ เพิ่มเป้าหมายไปเรื่อยๆ
รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
รับประทานอาหารให้ลดลง เพื่อลดปริมาณพลังงานที่ร่างกายจะได้รับและยังช่วยลดน้ำหนักด้วย การเลือกอาหารที่มีไขมันต่ำเป็นทางเลือกที่ดีในการจำกัดปริมาณพลังงานที่ได้รับ และแนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าแทนการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน
วิธีลดโอกาสของการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ดีที่สุด คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มันอาจเป็นเรื่องยากที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตนเองทำอยู่ทุกวัน แต่เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนอื่นๆ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สุขภาพของคุณรับแต่ผลประโยชน์มากกว่าผลเสียจึงเป็นสิ่งสำคัญ ลองเปลี่ยนแปลงตนเองดูสักครั้ง คุณอาจชอบการดำเนินชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมก็ได้
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล