การผ่าตัดแก้ไขภาวะหย่อนของส่วนยอดช่องคลอดโดยการส่องกล้องทางหน้าท้อง เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้หญิงที่มีภาวะช่องคลอดหย่อน รุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอาการมีเนื้อเยื่อยื่นออกมาจากช่องคลอด ปัญหาการขับถ่าย หรือรู้สึกไม่สบายภายในช่องคลอด
บทความนี้จะช่วยให้คุณรู้จักกับการผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้ให้มากขึ้น รวมถึงข้อดี ขั้นตอน การเตรียมตัว และการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด
สารบัญ
การผ่าตัดแก้ไขภาวะหย่อนของส่วนยอดช่องคลอดโดยการส่องกล้อง คืออะไร
การผ่าตัดแก้ไขภาวะหย่อนของส่วนยอดช่องคลอดโดยการส่องกล้อง (Laparoscopic Uterosacral Vault Suspension) เป็นเทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยแพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็กเพียง 0.5–1 เซนติเมตร บริเวณหน้าท้องจำนวน 3-4 จุด เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปแก้ไขภาวะช่องคลอดส่วนบนที่หย่อนคล้อยให้กลับคืนสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ไหมเย็บยึดช่องคลอดส่วนยอดเข้ากับเอ็นยึดมดลูก (Uterosacral Ligament) หรือเอ็นก้นกบ (Sacrospinous Ligament) ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่พยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกรานให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติ
เมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม การผ่าตัดด้วยวิธีนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น
- แผลขนาดเล็กและเจ็บน้อยกว่า ทำให้ลดความเจ็บปวดและช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว
- เสียเลือดน้อยกว่า และมีความเสี่ยงในการเกิดพังผืดต่ำ
- โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนของแผลผ่าตัด เช่น การติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การผ่าตัดวิธีนี้จึงถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการแก้ไขภาวะหย่อนของช่องคลอดส่วนยอด
ขั้นตอนการผ่าตัด
การผ่าตัดแก้ไขภาวะหย่อนของส่วนยอดช่องคลอดโดยการส่องกล้องทางหน้าท้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
- วิสัญญีแพทย์จะให้ยาชาและดมยาสลบผู้ป่วยเพื่อให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดและอยู่ในภาวะหลับสบายตลอดการผ่าตัด
- แพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็กประมาณ 0.5–1 เซนติเมตร บริเวณหน้าท้องจำนวน 3-4 จุด โดยจุดหนึ่งใช้สำหรับสอดกล้อง (Laparoscope) ซึ่งจะส่งภาพภายในช่องท้องขึ้นจอภาพเพื่อให้แพทย์มองเห็นอวัยวะและเนื้อเยื่อได้อย่างชัดเจน ส่วนแผลที่เหลือใช้สำหรับสอดเครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก เข้าไปเพื่อทำการผ่าตัด
- แพทย์จะใช้ไหมเย็บยึดช่องคลอดส่วนยอดเข้ากับเอ็นยึดมดลูก (Uterosacral Ligament) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงบริเวณด้านข้างของกระดูกเชิงกราน เพื่อช่วยพยุงและตรึงช่องคลอดให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและมั่นคง ในกรณีที่ผู้ป่วยมีมดลูก แพทย์อาจพิจารณาตัดมดลูกออกก่อน จากนั้นจึงแก้ไขช่องคลอดหย่อนต่อไป นอกจากนี้ หากพบว่ามีภาวะผนังช่องคลอดด้านหน้าและ/หรือด้านหลังหย่อนคล้อยร่วมด้วย แพทย์จะซ่อมแซมผนังช่องคลอดเหล่านั้นให้กลับคืนสู่สภาพปกติ
- เมื่อแก้ไขภาวะช่องคลอดหย่อนเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะเย็บปิดแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง และจะใส่สายสวนปัสสาวะชั่วคราวเพื่อช่วยระบายปัสสาวะในช่วงพักฟื้น จากนั้นผู้ป่วยจะถูกนำส่งห้องพักฟื้นเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดต่อไป
การผ่าตัดแก้ไขภาวะหย่อนของส่วนยอดช่องคลอดโดยการส่องกล้องทางหน้าท้อง อันตรายไหม?
การผ่าตัดแก้ไขภาวะหย่อนของส่วนยอดช่องคลอดโดยการส่องกล้องทางหน้าท้องเป็นเทคนิคที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง โดยแพทย์จะใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะข้างเคียง เช่น ท่อไตหรือกระเพาะปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการผ่าตัดใหญ่ทั่วไป การผ่าตัดวิธีนี้ยังคงมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
- อาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะจากการดมยาสลบ ซึ่งมักจะหายไปเอง
- อาการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด ซึ่งพบได้น้อยมากหากดูแลรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด
- ความเสี่ยงจากการใช้ตาข่ายพยุง (ในกรณีที่ใช้) เช่น การโผล่ของตาข่ายในช่องคลอด ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกเข้ารับการผ่าตัดกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนและหลังผ่าตัดอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวอย่างปลอดภัย
ใครควรพิจารณาการผ่าตัดนี้
หากคุณมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัยและพิจารณาการผ่าตัดแก้ไขอย่างละเอียด โดยเฉพาะในกรณีที่มีอาการดังต่อไปนี้
- มีเนื้อเยื่อหรืออวัยวะภายในช่องคลอด เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ หรือผนังช่องคลอดหย่อนคล้อยและยื่นออกมาอย่างชัดเจน ส่งผลต่อความรู้สึกไม่สบายและความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
- ประสบปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย เช่น ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะลำบาก หรือรู้สึกปัสสาวะไม่สุดจนต้องใช้นิ้วดันผนังช่องคลอดเพื่อช่วยในการขับถ่าย
- รู้สึกอึดอัดหรือมีความรู้สึกหน่วงถ่วงภายในช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
- มีความรู้สึกเหมือนนั่งทับก้อนกลมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเกิดจากแรงกดเบียดของอวัยวะภายใน
- พบเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นผลจากการเสียดสีของเนื้อเยื่อที่ยื่นออกมา
การเตรียมตัวก่อนและหลังการผ่าตัด
การเตรียมความพร้อมทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- แจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด ทั้งโรคประจำตัว อาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ประวัติการแพ้ยา รวมถึงรายการยารักษาโรค วิตามิน หรืออาหารเสริมที่รับประทานอยู่ เพื่อให้แพทย์พิจารณาปรับยาหรือหยุดยาในบางชนิดหากจำเป็น
- งดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างการดมยาสลบ เช่น การสำลักอาหารเข้าสู่ปอด
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด เพราะทั้งสองปัจจัยอาจส่งผลต่อกระบวนการสมานแผลและการไหลเวียนของเลือด
- จัดเตรียมผู้ดูแลหรือญาติในวันผ่าตัด เพื่อช่วยดูแลและพากลับบ้านหลังผ่าตัด
การดูแลหลังผ่าตัด
- โดยทั่วไปผู้ป่วยจะพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 2 วัน จากนั้นจึงกลับไปพักต่อที่บ้านอีก 4–6 สัปดาห์
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งยาฆ่าเชื้อและยาบรรเทาอาการปวดตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น การออกกำลังกายหรือยกของหนัก อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดเพศสัมพันธ์และการกระตุ้นช่องคลอด รวมถึงการสวนล้างและการแช่น้ำ อย่างน้อย 6 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
- ดูแลระบบขับถ่าย รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำเพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก ซึ่งอาจเพิ่มแรงดันในช่องท้องและกระทบต่อแผลผ่าตัด
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แม้การผ่าตัดแก้ไขภาวะหย่อนของส่วนยอดช่องคลอดโดยการส่องกล้องทางหน้าท้องจะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ เช่นเดียวกับการผ่าตัดทุกประเภท โดยส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและสามารถรักษาให้หายได้ ดังนี้
- ผลจากการดมยาสลบ เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรืออาเจียน อาการมักเกิดเพียงชั่วคราวและหายไปเองเมื่อร่างกายฟื้นตัว
- ตกขาวปนเลือดเล็กน้อย ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ซึ่งจะค่อยๆ ลดลง
- ตกขาวสีขาวอมเหลืองคล้ายครีม ในช่วง 4–6 สัปดาห์ถัดมา เกิดจากการละลายของไหมหรือวัสดุเย็บแผล ไม่ใช่สัญญาณของการติดเชื้อ
- อาการท้องผูกหรือรู้สึกไม่สบายระหว่างมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดในช่วงพักฟื้น และมักดีขึ้นเมื่อร่างกายฟื้นตัวเต็มที่
- ปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง เช่น ไอ จาม หรือยกของหนัก
- การโผล่ของตาข่ายเสริมความแข็งแรงในช่องคลอด ซึ่งพบได้ไม่บ่อย หากเกิดขึ้น แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเลาะตาข่ายออกในภายหลัง
โดยสรุปแล้ว การผ่าตัดแก้ไขภาวะหย่อนของส่วนยอดช่องคลอดโดยการส่องกล้องทางหน้าท้องเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนหลังการรักษา
ผ่าตัดรักษาภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อนวิธีไหนดี? วิธีไหนเสี่ยงน้อย แต่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับเรา? นัดคุยกับคุณหมอเฉพาะทาง ผ่านทีม HDcare สะดวกรวดเร็ว ทันใจ หรือค้นหาแพ็กเกจผ่าตัด จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย