ผ่าตัดไส้ติ่ง ความเร่งด่วน เพื่อความปลอดภัย

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) เป็นโรคปวดท้องเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุด มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป พบบ่อยในช่วงอายุ 15-45 ปี และไม่สามารถรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียวได้ จำเป็นจะต้องผ่าตัดนำไส้ติ่งออก ซึ่งเมื่อเกิดความผิดปกติกับไส้ติ่งและจะต้องได้รับการผ่าตัดอย่างทันท่วงที แต่หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่าการผ่าตัดไส้ติ่งมีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เตรียมตัวอย่างไร

มีคำถามเกี่ยวกับ ผ่าตัดไส้ติ่ง? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ผ่าตัดไส้ติ่ง คืออะไร?

การผ่าตัดไส้ติ่ง (Appendectomy) เป็นการผ่าตัดเพื่อนำไส้ติ่งออก ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการรักษาไส้ติ่งอักเสบโดยสาเหตุของไส้ติ่งอักเสบนั้น อาจเกิดจากการอุดตันของสิ่งตกค้างบริเวณไส้ติ่ง หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

อาการไส้ติ่งอักเสบ มักเริ่มจากปวดท้องบริเวณรอบสะดือลงมาถึงบริเวณท้องน้อยด้านขวา และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก หรือท้องเสีย ท้องอืด จุกแน่น กดบริเวณท้องน้อยขวาแล้วรู้สึกเจ็บ ซึ่งอาการระยะแรกจะมีความใกล้เคียงกับอาการปวดท้องเฉียบพลันอื่นๆ ทำให้มีโอกาสได้รับการวินิจฉัยล่าช้า

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไส้ติ่งอาจอักเสบและติดเชื้อมากขึ้น จนไส้ติ่งแตกทะลุ มีหนองไหลเข้าสู่ช่องท้อง หรือมีการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มปวดจนถึงระยะที่ไส้ติ่งแตก มักไม่เกิน 3 วัน และหากถึงขั้นนี้ การผ่าตัดและการรักษาจะมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่กล่าวมาแล้ว ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพื่อผ่าตัดไส้ติ่งได้อย่างทันท่วงที

ผ่าตัดไส้ติ่งมีกี่แบบ?

การผ่าตัดไส้ติ่งสามารถทำได้ 2 แบบ คือ การผ่าตัดแบบเปิด หรือ การผ่าตัดแบบธรรมดา (Open Appendectomy) และ การผ่าตัดไส้ติ่งโดยการส่องกล้อง (Laparoscopic Appendectomy) โดยแต่ละแบบจะมีรายละเอียด และมีข้อดีและข้อเสีย ดังต่อไปนี้

มีคำถามเกี่ยวกับ ผ่าตัดไส้ติ่ง? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

เปรียบเทียบการผ่าตัดไส้ติ่งแบบปกติและแบบผ่านกล้อง

การผ่าตัดไส้ติ่งแบบธรรมดา

การผ่าตัดไส้ติ่งแบบธรรมดา (Open Appendectomy) เป็นการผ่าตัดนำไส้ติ่งออกโดยการผ่าตัดบริเวณท้องน้อยด้านขวา ตรงกับตำแหน่งของไส้ติ่งที่อักเสบ มีขนาดแผลประมาณ 3-10 เซนติเมตร โดยกรณีไส้ติ่งแตก อาจต้องเปิดแผลขนาดยาวกลางท้องเพื่อทำการล้างภายในช่องท้องด้วย

ข้อดีของการผ่าตัดไส้ติ่งแบบธรรมดา

  • ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าการผ่าตัดไส้ติ่งโดยการส่องกล้องประมาณเกือบเท่าตัว
  • กรณีไส้ติ่งแตก แพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัดไส้ติ่งแบบธรรมดา เพื่อสะดวกต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อและอวัยวะบริเวณใกล้เคียง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อ
  • เหมาะกับผู้ที่เคยผ่าตัดหน้าท้องมาก่อน

ข้อเสียของการผ่าตัดไส้ติ่งแบบธรรมดา

  • ผู้รับการผ่าตัดจะมีแผลบริเวณท้องน้อยด้านขวา ขนาดยาวกว่าการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้องและเห็นได้ชัดเจน
  • ใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานกว่าการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง
  • มีความเจ็บปวดหลังผ่าตัดมากกว่าการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง
  • มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง

การผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง

การผ่าตัดไส้ติ่งโดยการส่องกล้อง (Laparoscopic Appendectomy) เป็นการผ่าตัดนำไส้ติ่งออก โดยการเจาะผ่านช่องท้อง แล้วสอดอุปกรณ์ผ่าตัดและกล้องขนาดเล็กเข้าไป เพื่อส่งภาพมายังจอรับภาพ ทำให้แพทย์เห็นความผิดปกติได้ชัดเจนจากกล้อง ส่งผลให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและเพิ่มความปลอดภัย โดยแผลจะมีเพียง 2-3 จุด ขนาดเล็กๆ ประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลยาว ทำให้เป็นที่นิยมสูงในปัจจุบัน

ข้อดีของการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง

  • แผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็ก โดยถ้าผ่าตัดผ่านสะดือจะไม่เห็นแผลเป็น เหมาะสำหรับผู้กังวลเรื่องความสวยงาม
  • ความเจ็บปวดน้อยหลังผ่าตัด และทำให้ใช้ยาแก้ปวดน้อยลงอีกด้วย
  • ลดการเสียเลือด
  • ลดระยะการพักที่โรงพยาบาล ในบางรายอาจกลับบ้านได้เลยโดยไม่ต้องนอนค้าง
  • ฟื้นตัวไว ใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย สามารถกลับไปดำเนินกิจวัตรประจำวันหรือกลับไปทำงานได้เร็วกว่า
  • ด้วยอุปกรณ์กล้องส่อง ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นรายละเอียดของตำแหน่งที่ต้องการผ่าตัด หรือพยาธิสภาพได้ชัดเจนจากกำลังขยายของเลนส์กล้อง ทำให้ผ่าตัดได้ตรงจุด ทั้งยังลดการกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ส่งผลให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
  • ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด และลดโอกาสติดเชื้อ
  • โอกาสเกิดความบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในจะน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด และเกิดพังผืดหลังผ่าตัดน้อยกว่า
  • สามารถทำได้ในผู้ที่เป็นไส้ติ่งอักเสบธรรมดา หรือไส้ติ่งแตกก็ได้ ตามดุลยพินิจของแพทย์

ข้อเสียของการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง

  • ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดผ่านกล้องจะสูงกว่าการผ่าตัดแบบปกติประมาณเท่าตัว
  • ในบางกรณี จะไม่สามารถใช้วิธีผ่าตัดผ่านกล้องได้ เช่น ผู้ที่มีโรคปอด โรคหัวใจ หรือผู้ที่เคยผ่าตัดแบบแผลเปิดขนาดใหญ่มาก่อน
  • หากมีพยาธิสภาพอื่นๆ แทรกซ้อน ที่ไม่สามารถใช้การผ่าตัดผ่านกล้องจัดการได้ มีโอกาสเปลี่ยนเป็นการผ่าตัดแบบเปิดได้

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดไส้ติ่ง

แพทย์จะถามประวัติ อาการ และตรวจร่างกายของผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ เพื่อประเมินว่าอาการปวดท้องนั้น คือไส้ติ่งอักเสบหรือไม่ หากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบและต้องผ่าตัด ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรเตรียมตัวดังนี้

  • งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • งดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันการสำลักเศษอาหารเข้าหลอดลมและปอด ระหว่างให้ยาระงับความรู้สึก
  • ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ สระผม ให้เรียบร้อย
  • งดแต่งหน้าและงดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด
  • ตัดเล็บให้สั้น หากทาเล็บให้ล้างออกให้หมด
  • ถอดเครื่องประดับทุกชนิดออก
  • งดใส่คอนแทคเลนส์
  • กรณีใส่ฟันปลอมชนิดถอดออกได้ ให้ถอดออก เพื่อป้องกันฟันปลอมหลุดเข้าไปอุดหลอดลมขณะผ่าตัด
  • ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องผ่าตัด
  • เตรียมหาเพื่อนหรือผู้ใกล้ชิดมาคอยดูแล ขับรถพากลับบ้านหลังผ่าตัด เพราะผู้รับการผ่าตัดอาจมีอาการง่วงซึมซึ่งเป็นอาการข้างเคียงจากการใช้ยาสลบ
  • แจ้งให้ครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดทราบ เพื่อให้คอยสังเกตและดูแล โดยเฉพาะหากผู้รับการผ่าตัดมีอาการผิดปกติหลังผ่าตัด

ขั้นตอนการผ่าตัดไส้ติ่ง

ก่อนที่จะทำการผ่าตัดไส้ติ่งนั้น เบื้องต้นแพทย์จะตรวจ วินิจฉัย และพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้รับการผ่าตัดว่า จะต้องเข้ารับการผ่าตัดด้วยวิธีใด มีลักษณะอย่างไร ผลเป็นอย่างไร และมีขั้นตอนอย่างไร

โดยขั้นตอนในการผ่าตัดแต่ละวิธีนั้น มีดังต่อไปนี้

ขั้นตอนการผ่าตัดไส้ติ่งแบบธรรมดา

  1. แพทย์จะใช้ยาสลบและยาระงับความรู้สึก ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดของผู้รับการผ่าตัด เพื่อให้ผู้รับการผ่าตัดไม่รู้สึกตัวและไม่รู้สึกเจ็บปวดตลอดระยะเวลาการผ่าตัด หรืออาจใช้วิธีฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลัง ผู้รับการผ่าตัดจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่จะยังคงรู้สึกตัวอยู่ตลอดระยะเวลาที่ผ่าตัด
  2. แพทย์ผ่าเปิดช่องท้องบริเวณช่วงท้องด้านล่างขวาตรงกับบริเวณไส้ติ่ง เป็นความยาวประมาณ 3 เซนติเมตร
  3. แพทย์ตัดไส้ติ่งออก
  4. แพทย์ทำความสะอาด เย็บปิด และตกแต่งบาดแผล
  5. หลังการผ่าตัด ผู้เข้ารับการผ่าตัด ต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล 1-3 วัน หรือตามดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อรับการดูแลสังเกตอาการจากแพทย์ เช่น การเต้นของชีพจร การหายใจ และอัตราการเต้นของหัวใจ
  6. หากไม่พบสัญญาณผิดปกติใดๆ แพทย์จะอนุญาตให้ผู้รับการผ่าตัดกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้าน

ขั้นตอนการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง

  1. แพทย์จะใช้ยาสลบและยาระงับความรู้สึก ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดของผู้รับการผ่าตัด เพื่อให้ผู้รับการผ่าตัดไม่รู้สึกตัวและไม่รู้สึกเจ็บปวดตลอดระยะเวลาการผ่าตัด หรืออาจใช้วิธีฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลัง ผู้รับการผ่าตัดจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่จะยังคงรู้สึกตัวอยู่ตลอดระยะเวลาที่ผ่าตัด
  2. แพทย์ผ่าตัดเปิดช่องเล็กๆ บริเวณหน้าท้อง แล้วสอดท่อขนาดเล็กที่เรียกว่า แคนนูล่า (Cannula) เข้าไปเพื่อขยายช่องท้องด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นจะสอดอุปกรณ์ที่เรียกว่า แลพพาโรสโคป (Laparoscope) ซึ่งเป็นท่อที่มีหลอดไฟและมีกล้องความละเอียดสูงอยู่ที่ปลายท่อ เพื่อส่งสัญญาณภาพให้แพทย์ผ่าตัดสำรวจ
  3. จากสัญญาณภาพที่แสดง เมื่อแพทย์พบบริเวณที่เป็นไส้ติ่งแล้ว แพทย์จะใช้อุปกรณ์พิเศษขนาดเล็กสอดเข้าไปในช่องที่ผ่าบริเวณหน้าท้อง เพื่อทำการตัดและนำไส้ติ่งออกมา
  4. แพทย์ทำความสะอาด เย็บปิด และตกแต่งบาดแผล
  5. หลังการผ่าตัด ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 1-2 วัน เพื่อรับการดูแลสังเกตอาการจากแพทย์ เช่น การเต้นของชีพจร การหายใจ และอัตราการเต้นของหัวใจ
  6. หากไม่พบสัญญาณผิดปกติใดๆ แพทย์จะอนุญาตให้ผู้รับการผ่าตัดกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้าน

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดไส้ติ่ง

หากไม่มีอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายหลังการผ่าตัด ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะฟื้นตัวและหายดีเป็นปกติภายใน 4-6 สัปดาห์ โดยควรดูแลรักษาสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดดังนี้

  • รับประทานยาให้ตรงเวลา และครบถ้วนตามที่แพทย์สั่ง โดยแพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะบางชนิดเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ยาต้านอาการอาเจียน หรือ ยาแก้ปวดให้ตามอาการของแต่ละคน
  • หากแพทย์สั่งกลุ่มยาแก้ปวดซึ่งอาจมีผลข้างเคียงทำให้เวียนหัวหรือง่วงนอนได้ จึงควรเตรียมหาผู้ช่วยดูแล เพื่อขอความช่วยเหลือได้หากจำเป็น
  • หากมีอาการเจ็บปวดหรือต้องการความช่วยเหลือ ควรรีบขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลทันที ไม่ควรรอจนอาการรุนแรง
  • งดอาหารและน้ำหลังผ่าตัดวันแรก จนกว่าจะมีการเคลื่อนไหวของลำไส้
  • รับประทานอาหารตามที่แพทย์แนะนำ ซี่งโดยทั่วไปแพทย์จะให้เริ่มด้วยการจิบน้ำ หากไม่มีอาการท้องอืด จะเริ่มให้อาหารเหลว อาหารอ่อน และอาหารธรรมดาตามลำดับ
  • งดเครื่องดื่มแอลกอออล์ ชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนทุกชนิด
  • พยายามหายใจเข้าออก ลึกๆ
  • ระมัดระวังการไอจาม เวลาไอหรือจามให้ใช้มือประคองแผลไว้ เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บมาก ป้องกันไม่ให้แผลกระทบกระเทือน หรือแผลปริ
  • รักษาความสะอาดบริเวณแผลผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ
  • ระมัดระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ ทำความสะอาดของร่างกายโดยการเช็ดตัว และหากแผลเปียกน้ำให้เปลี่ยนผ้าปิดแผลทันที
  • ระมัดระวัง ไม่จับไม่เกาแผล เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือน เพราะอาจทำให้แผลอักเสบ บวม แดง ได้
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมาก จนกว่าร่างกายจะกลับสู่สภาพปกติ
  • ลุกเดินออกกำลังเบาๆ หรือเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
  • ไปพบแพทย์ตามนัด
  • สังเกตตัวเอง หากมีอาการที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษา โดยอาการที่เป็นสัญญาณอาจมีดังนี้ มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หนาวสั่น เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้องผิดปกติ ถ่ายเหลวผิดปกติ ท้องร่วงหรือท้องผูกนานเกินกว่า 2 วัน ปวดแผลมากขึ้น ขอบแผลผ่าตัดบวมแดงและกดเจ็บ แผลมีหนองหรือน้ำเหลืองซึม

การผ่าตัดไส้ติ่งนั้น เป็นความจำเป็นและเร่งด่วนในการยุติไส้ติ่งอักเสบ เพื่อไม่ให้อาการรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เป็นการผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อน และได้ผลลัพธ์ที่ดี

มีคำถามเกี่ยวกับ ผ่าตัดไส้ติ่ง? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ HDcare โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ พยาบาล HDcare