แก้ปัญหาผิวตอบ ริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้าด้วยการฉีดสารเติมเต็ม (Dermal filler)

การฉีดสารเติมเต็ม (Injectable dermal filler) หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ฉีดฟิลเลอร์” เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อเติม หรือเสริมส่วนที่บกพร่อง เช่น ผิวตอบ ริ้วรอย หรือร่องลึกบนใบหน้า

เมื่อพูดถึงการฉีดฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่จะหมายถึงการฉีดสารเติมเต็มในกลุ่มสารสังเคราะห์ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับไฮยาลูรอนิกแอซิดที่พบในชั้นผิวหนัง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้น้อย ปลอดภัย และสลายได้หมด

อย่างไรก็ตาม สารเติมเต็มยังมีอีกหลายชนิด เช่น คอลลาเจน (Collagen) หรือไขมันของตัวเอง ซึ่งแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนเข้ารับการฉีดสารเติมเต็มควรศึกษารายละเอียดให้ดีเสียก่อน

ชนิดของสารเติมเต็ม

สารเติมเต็ม แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังต่อไปนี้

1. สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler)

สารเติมเต็มแบบชั่วคราว เป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก ตัวอย่างสารเติมเต็มแบบชั่วคราว เช่น

  • สารในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด เป็นสารที่นิยมใช้มากที่สุด มีความปลอดภัย สลายได้หมด และหากไม่พอใจในผลลัพธ์หลังฉีด ก็สามารถฉีดสารเร่งการสลายสารเติมเต็มได้ สารเติมเต็มกลุ่มนี้มีหลายยี่ห้อ เช่น Neuramis, Perfectha, Juvederm หรือ Restylane
  • คอลลาเจน ส่วนใหญ่มักสกัดจากสัตว์ ให้ผลระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน อาจทำให้เกิดอาการแพ้ และบวมแดงได้ง่ายกว่าสารในกลุ่มไฮยาลูโรนิกแอซิด
  • ไขมันของตัวเอง หรือเรียกว่าการเติมไขมัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการฉีดครั้งละมากๆ เช่น ฉีดทั่วใบหน้า สะโพก ลำคอ หรือมือ มีข้อเสียคือ ต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น 7-14 วัน

2. สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)

ตัวอย่างสารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร เช่น สาร PMMA (Polymethyl-methacrylate) สารโพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyakylimide)

สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวรจะมีอายุยาวกว่าสารเติมเต็มแบบชั่วคราว โดยอาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี แต่มีความปลอดภัยในระยะปานกลาง และสารที่ให้ผลยาวนานกว่าจะมีแนวโน้มในการเกิดผลข้างเคียงมากกว่า

3. สารเติมเต็มแบบถาวร (Permanent Filler)

ตัวอย่างสารเติมเต็มแบบถาวร เช่น ซิลิโคนเหลว หรือน้ำมันพาราฟิน

ไม่แนะนำให้ฉีดสารเติมเต็มชนิดนี้ เพราะไม่สามารถสลายเองได้ และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรง เกิดการอักเสบ หรือทำให้บริเวณที่ฉีดเปลี่ยนรูปไป

การฉีดสารเติมเต็ม ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

การฉีดสารเติมเต็มส่วนใหญ่จะนิยมฉีดบริเวณใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ หน้าผาก ริมฝีปาก คาง หรือจมูก เพื่อลดริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า ปรับรูปหน้า หรือแก้หนังตาตก

นอกจากนี้สารเติมเต็มยังสามารถฉีดบริเวณอื่นได้เช่นกัน ดังนี้

  • บริเวณแผลเป็นลึกบุ๋ม (Depressed scar) ป็นแผลที่อาจเกิดจากสิว หลุมสิว หรือโรคอีสุกอีใส
  • บริเวณลำคอ สะโพก และมือ
  • บริเวณที่มีรอยโรคผิวหนัง เช่น โรคปากนกกระจอก หรือผิวหนังฝ่อ
  • บริเวณที่เป็นโรคตาปลา (Corns) และหนังหนาด้าน (Calluses) เพื่อลดจุดสัมผัสที่อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือเสี่ยงต่อการเกิดแผล

ข้อดีของการฉีดสารเติมเต็ม

การฉีดสารเติมเต็มมีข้อดีหลายอย่าง ดังนี้

  • เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังทำ และผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป
  • แก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้าอย่างได้ผล
  • หากเป็นการฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิกแอซิด แล้วผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นที่พอใจ สามารถแก้ไขได้โดยการฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เข้าไปเร่งการสลายสารเติมเต็มออกอย่างรวดเร็ว
  • การฉีดสารเติมเต็มชนิดชั่วคราวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นสารจากธรรมชาติที่สามารถสลายได้เอง ไม่มีปัญหาตกค้างในร่างกาย และโอกาสเกิดอาการแพ้น้อย

ข้อเสียของการฉีดสารเติมเต็ม

แม้ว่าการฉีดสารเติมเต็มจะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน ดังนี้

  • ผลลัพธ์ของการฉีดสารเติมเต็มอยู่ได้ชั่วคราว ประมาณ 4-12 เดือน หากต้องการคงผลลัพธ์ไว้จะต้องฉีดสารเติมเต็มซ้ำทุกๆ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน
  • การฉีดสารเติมเต็มอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น รอยแดง บวม เจ็บ รอยช้ำ คัน หรือเป็นผื่นที่ฉีด แต่เป็นอาการที่ไม่เป็นอันตราย และสามารถหายได้เอง
  • หากฉีดสารเติมเต็มกับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ หรือใช้สารเติมเต็มที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เช่น ติดเชื้อ อักเสบเรื้อรัง เกิดก้อนรอบๆ บริเวณที่ฉีด สารเติมเต็มรั่วไหลหรือเคลื่อน หลอดเลือดบาดเจ็บ ตาบอด เนื้อเยื่อตาย หรืออาการแพ้รุนแรงได้
  • หากฉีดสารเติมเต็มแบบถาวร เช่น ซิลิโคนเหลว หรือน้ำมันพาราฟิน จะไม่สามารถสลายออกเองได้ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น จับตัวเป็นก้อนจนเกิดพังผืด ซึ่งจะต้องไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแก้ไขเท่านั้น

ผลลัพธ์ของการฉีดสารเติมเต็ม หรือฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานเท่าไหร่?

การฉีดสารเติมเต็มใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลัง และผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในช่วง 7-4 วัน

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการฉีดสารเติมเต็มจะแตกต่างกันไปแต่ละคน โดยส่วนใหญ่จะอยู่ได้นาน 4 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็ม ปัญหาผิว และการดูแลผิวหลังการฉีดสารเติมเต็มของแต่ละคน

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดสารเติมเต็ม

เพื่อลดการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดสารเติมเต็ม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • งดรับประทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาแก้อักเสบในกลุ่มเอนเสด (NSAID) ยาละลายลิ้มเลือด น้ำมันตับปลา หรือวิตามินอี จะช่วยลดการเกิดรอยช้ำได้
  • งดการใช้ยาผลัดเซลล์ผิว การดึง หรือการโกนขนบริเวณที่จะฉีดสารเติมเต็ม
  • งดทำเลเซอร์ และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วันก่อนเข้ารับการฉีดสารเติมเต็ม
  • หากมีโรคประจำตัว หรือยารักษาโรคที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • สามารถแจ้งให้แพทย์ทาหรือฉีดยาชาได้
  • แพทย์อาจให้รับประทานยาห้ามเลือด หรือยาลดบวม เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำและอักเสบ

การดูแลตัวเองหลังการฉีดสารเติมเต็ม

เพื่อให้การฉีดสารเติมเต็มได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด ควรปฏิบัติตัวดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกา และกด บริเวณที่ฉีด
  • หากก่อนเข้ารับการฉีดสารเติมเต็มไม่ได้รับประทานยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรับประทานยาฆ่าเชื้อทันที
  • ควรอยู่ในที่ที่อากาศเย็น และสามารถใช้น้ำแข็งห่อผ้าประคบบริเวณที่ฉีดเพื่อลดบวมได้
  • หลีกเลี่ยงความร้อน และกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก หรือตากแดดจัด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด อย่างน้อย 1 เดือน
  • ในช่วง 3 วันแรกหลังการฉีดสารเติมเต็ม ควรหลีกเลี่ยงการขยับผิวบริเวณที่ทำ เพราะอาจทำให้สารเติมเต็มเคลื่อนได้
  • ในช่วงสัปดาห์แรก ควรงดรับประทานอาหารที่ส่งผลต่อการอักเสบ บวม หรือทำให้สารเติมเต็มเสื่อมประสิทธิภาพ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ ไม่ว่าจะเป็นหมูกระทะ ชาบู อาหารหมักดอง อาหารที่เผ็ดมากๆ อาหารหวานจัด หรืออาหารดิบจากร้านที่ไม่สะอาด
  • ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้า และส่งผลให้ผลลัพธ์ของการฉีดสารเติมเต็มสั้นลง

ข้อควรระวังในการฉีดสารเติมเต็ม

ในปัจจุบัน มีสารเติมเต็มที่เป็นของปลอม หรือซิลิโคนเหลวในท้องตลาดมากมาย ซึ่งคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานอาจนำมาใช้ทดแทนสารเติมเต็มจริงๆ ได้ เพราะมีราคาถูกกว่ามาก

สารเติมเต็มของปลอมเหล่านี้ หากฉีดเข้าสู่ร่างกาย และไปยังกระแสเลือดสู่สมอง จะทำให้เส้นเลือดอุดตัน แตก หรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ดังนั้นก่อนเข้ารับการฉีดสารเติมเต็ม ควรเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน มั่นใจได้ว่าใช้สารเติมเต็มของแท้ ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยประเมินปริมาณการฉีดสารเติมเต็มอย่างเหมาะสม

วิธีตรวจสอบสารเติมเต็มเบื้องต้น

ปกติแล้วแพทย์จะแกะกล่องสารเติมเต็มต่อหน้าผู้เข้ารับบริการ เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถตรวจสอบได้ ดังนี้

  • สารเติมเต็มทุกยี่ห้อจะมี Lot Serial No. รวมถึงหมายเลขอ้างอิงต่างๆ ซึ่งจะตรงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้ากล่อง ในกล่อง หรือตัวเข็ม
  • สามารถเช็กสารเติมเต็มแท้ได้ โดยนำเลข Serial No. ไปสอบถามบริษัทที่นำเข้าหรือผลิต
  • สารเติมเต็มที่เป็นสารกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด เมื่อฉีดออกจากเข็มจะมีลักษณะเป็นเจลกึ่งแข็งกึ่งเหลว ในขณะที่ของปลอมจะย้อยเป็นก้อนแข็ง (ซิลิโคนเหลว)

ฉีดสารเติมเต็มที่ไหนดี ราคาเท่าไร?

ราคาการฉีดสารเติมเต็มจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และปริมาณที่ต้องการฉีด โดยมีหน่วยวัดเป็น ซีซี (cc) โดย 1 ซีซี สามารถเลือกฉีดได้ 1 จุด

ตัวอย่างราคาการฉีดสารเติมเต็ม (Dermal filler) เช่น

  • ฉีดสารเติมเต็มเกาหลี Neuramis บริเวณคาง หรือร่องแก้ม 1 ซีซี 1 ครั้ง ราคาประมาณ 5,900 บาท
  • ฉีดสารเติมเต็มฝรั่งเศส Perfectha 1 ซีซี 1 ครั้ง ราคาประมาณ 8,900 บาท
  • ฉีดสารเติมเต็มอเมริกา Juvederm Ultra 1 ซีซี 1 ครั้ง ราคาประมาณ 9,990 บาท
  • ฉีดสารเติมเต็มสวีเดน Restylane 1 ซีซี 1 ครั้ง ราคาประมาณ 10,900 บาท
  • เติมไขมันหลังมือ หรือสะโพก พร้อมเลเซอร์ลดรอย และฉีดแผลเป็นนูน 1 ครั้ง ราคาประมาณ 20,000 บาท
  • เติมไขมันทั่วใบหน้า พร้อมฉีดสารเติมเต็มฝรั่งเศส Perfectha 1 ซีซี 1 ครั้ง ราคาประมาณ 49,900 บาท

HDmall ยังมีแพ็กเกจฉีดสารเติมเต็มอื่นๆ อีกเพียบ!


เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจฉีดสารเติมเต็ม

Scroll to Top