โพแทสเซียม (Potassium) คือ แร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมากมาย แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมมีทั้งผลไม้ (โดยเฉพาะผลไม้อบแห้ง), ธัญญาหาร, ถั่ว, นม, และผักต่าง ๆ
สารบัญ
สรรพคุณของ Potassium (โพแทสเซียม)
- ควบคุมความดันโลหิต: ช่วยปรับสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิตสูงและป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง
- ช่วยการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ: มีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณประสาท ช่วยในการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจ
- บำรุงสุขภาพหัวใจ: โพแทสเซียมช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ส่งเสริมการเผาผลาญ สมดุลกรดและเบส: โพแทสเซียมมีส่วนร่วมในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารและการผลิตพลังงาน ช่วยรักษาสมดุลของกรดและเบสในร่างกาย
- ป้องกันการเกิดนิ่วในไต: การบริโภคโพแทสเซียมในปริมาณที่เพียงพอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไต
โพแทสเซียมออกฤทธิ์อย่างไร?
โพแทสเซียมมีบทบาทต่อการทำงานของร่างกายหลายอย่าง รวมไปถึงกระบวนการส่งสัญญาณประสาท, การบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อ, ปรับสมดุลของเหลวร่างกาย, และอยู่ในปฏิกิริยาทางเคมีมากมาย
การใช้และประสิทธิภาพของโพแทสเซียม
ภาวะที่ใช้โพแทสเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ การรับประทานหรือให้โพแทสเซียมเข้าเส้นเลือด (intravenously (by IV)) สามารถป้องกันและรักษาภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำได้
ภาวะที่อาจใช้โพแทสเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- โรคหลอดเลือดสมอง การบริโภคโพแทสเซียมจากอาหารที่สูงนั้นเชื่อมโยงกับการลดลงของความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองถึง 20% การทานอาหารเสริมโพแทสเซียมเองก็อาจมีความเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงต่อโรคนี้เช่นกัน กระนั้นยังคงต้องการงานวิจัยที่มีคุณภาพสูงมาพิสูจน์สรรพคุณของโพแทสเซียมเช่นนี้อยู่
ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐานว่าใช้โพแทสเซียมรักษาได้หรือไม่
- ปวดฟัน งานวิจัยบางชิ้นได้แสดงให้เห็นว่าการใช้ยาสีฟันที่ประกอบด้วย potassium nitrite สามารถลดอาการเสียวฟันได้ อย่างไรก็ตามยาสีฟันเหล่านี้อาจมีประสิทธิภาพโดยรวมด้อยกว่ายาสีฟันทั่วไป
- สิว
- ภาวะติดแอลกอฮอล์
- ภูมิแพ้
- โรคอัลไซเมอร์
- ข้ออักเสบ
- ท้องอืด
- การมองเห็นไม่ชัดเจน
- มะเร็ง
- กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง
- โรคลำไส้อักเสบ
- สับสน
- ท้องผูก
- เหนื่อยล้าและอารมณ์เหวี่ยงระหว่างช่วงหมดประจำเดือนหมาด ๆ
- ไข้
- เก๊าท์
- ปวดศีรษะ
- หัวใจวาย
- โคลิกในเด็กทารก
- ดื้อยาอินซูลิน
- ฉุนเฉียว
- โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
- กลุ่มอาการหมดประจำเดือน
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- โรคกล้ามเนื้อเสื่อม
- ปัญหาผิวหนัง
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด Myasthenia gravis
- ความเครียด
- นอนไม่หลับ
- ภาวะสุขภาพอื่น ๆ
จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานให้มากขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านประสิทธิผลของโพแทสเซียมเพิ่มเติม
ผลข้างเคียงและความปลอดภัยของโพแทสเซียม
- โพแทสเซียมถูกจัดว่าค่อนข้างปลอดภัย สำหรับผู้คนส่วนมากเมื่อรับประทานในปริมาณที่สูงถึง 100 mEq หรือเมื่อฉีดเข้าเส้นเลือด โดยการกำกับดูแลจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ บางคนอาจมีปฏิกิริยาจากโพแทสเซียมอย่างปวดท้อง, คลื่นไส้, ท้องร่วง, อาเจียน, หรือแก๊สในลำไส้
- การบริโภคโพแทสเซียมมากเกินจะถูกจัดว่าไม่ปลอดภัย อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนหรือยุกยิก, อ่อนแรง, อัมพาต, สับสน, ความดันโลหิตต่ำ, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, หรือเสียชีวิตได้ ดังนั้นไม่ควรรับประทานโพแทสเซียมเสริมด้วยตัวเองเพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
- แพ้ยา aspirin หรือ tartrazine: ควรเลี่ยงการทานอาหารเสริมโพแทสเซียมที่มีส่วนประกอบเป็น tartrazine
- ฟอกเลือด: ระดับโพแทสเซียมในเลือดของผู้ที่เข้ารับการฟอกเลือดอาจจะสูงหรือต่ำได้ โดยระดับที่ผันแปรนี้อาจจะขึ้นอยู่กับประเภทของกระบวนการฟอกเลือดที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา หากคุณกำลังต้องเข้าฟอกเลือด คุณอาจต้องได้รับอาหารเสริมหรือจำกัดปริมาณโพแทสเซียมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
- ภาวะผิดปรกติของระบบย่อยอาหารที่อาจเปลี่ยนแปลงความเร็วของการเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ของอาหารหรืออาหารเสริม: หากคุณมีภาวะที่ทำให้ร่างกายมีความผิดปรกติประเภทนี้ ไม่ควรใช้อาหารเสริมโพแทสเซียมเพราะอาจทำให้มีโพแทสเซียมกักเก็บในร่างกายมาเกินไปจนอาจเป็นอันตรายได้
- โรคไต: หากคุณเป็นโรคไตควรใช้โพแทสเซียมตามคำแนะนำหรือการดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ปลูกถ่ายไต: มีรายงานสองชิ้นที่กล่าวว่ามีผู้ป่วยที่เข้ารับการปลูกถ่ายไตมีระดับโพแทสเซียมที่สูงมากหลังได้รับ potassium citrate ดังนั้นหากคุณเข้ารับการปลูกถ่ายไตมาควรใช้โพแทสเซียมตามคำแนะนำหรือการดูแลของแพทย์เท่านั้น
- “โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง” อย่าง multiple sclerosis, โรคพุ่มพวง (SLE), โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือภาวะที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ : อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของคุณทำงานมากขึ้น และนั่นจะทำให้คุณประสบกับอาการจากโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองมากขึ้น หากคุณป่วยเป็นโรคในกลุ่มนี้ควรเลี่ยงการใช้อึ่งคี้จะดีที่สุด
ใช้โพแทสเซียมร่วมกับยาเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง
- ยาสำหรับความดันโลหิตสูง: ยาสำหรับความดันโลหิตสูงบางตัวอาจเพิ่มระดับโพแทสเซียมในเลือดได้ ดังนั้นการทานโพแทสเซียมร่วมกับยาเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายมีโพแทสเซียมมากเกินไป
- ยาขับน้ำ: ยาขับน้ำบางชนิดสามารถเพิ่มระดับโพแทสเซียมในเลือดได้ ดังนั้นการทานยาขับน้ำร่วมกับโพแทสเซียมอาจทำให้ร่างกายมีโพแทสเซียมมากเกินไป
ปริมาณยาที่ใช้
ปริมาณหรือขนาดยาที่ใช้ดังต่อไปนี้ได้ถูกศึกษาจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ผู้ใหญ่
รับประทาน
- ปริมาณสารอาหารที่เพียงพอ (adequate intake (AI)) ของโพแทสเซียม คือ 4.7 กรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่, 4.7 กรัมสำหรับสตรีมีครรภ์, และ 5.1 กรัมต่อวันสำหรับผู้หญิงที่ให้นมบุตร
- สำหรับภาวะโพแทสเซียมต่ำ (hypokalemia): สำหรับป้องกันภาวะระดับโพแทสเซียมต่ำคือ 20 mEq (ธาตุโพแทสเซียมประมาณ 780 mg) มักถูกนำไปรับประทานทุกวัน สำหรับรักษาภาวะระดับโพแทสเซียมต่ำคือ 40-100 mEq (ธาตุโพแทสเซียมประมาณ 1560-3900 mg) โดยแบ่งเป็น 2-5 โดสต่อวัน
- สำหรับความดันโลหิตสูง (hypertension): สำหรับรักษาความดันโลหิตสูง 3500-5000 mg ต่อวัน โดยควรได้รับจากอาหารจะดีที่สุด
- สำหรับโรคหลอดเลือดสมอง: สำหรับป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ปริมาณสารอาหารที่แนะนำคือประมาณ 75 mEq (ธาตุโพแทสเซียมประมาณ 3.5 กรัม) ทุกวัน
ฉีดเข้าเส้นเลือด
- สำหรับภาวะโพแทสเซียมต่ำ (hypokalemia): ปริมาณและอัตราการให้ potassium chloride ทางเส้นเลือดสำหรับป้องกันหรือรักษาภาวะโพแทสเซียมต่ำจะแตกต่างและขึ้นอยู่กับภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย การจัดฉีดยาทุกครั้งต้องถูกตรวจสอบและกำกับดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพตลอดเวลา
เด็ก
- ปริมาณสารอาหารที่เพียงพอ (adequate intake (AI))
- สำหรับทารกอายุ 6 เดือนลงไป คือ 0.4 กรัมต่อวัน
- สำหรับทารกอายุ 6-12 เดือน คือ 0.7 กรัมต่อวัน
- สำหรับเด็กอายุ 1-3 ปี คือ 3 กรัม
- สำหรับเด็กอายุ 4-8 ปี คือ 3.8 กรัม
- สำหรับเด็กอายุ 9-13 ปี คือ 4.5 กรัม