ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีหน้าที่อย่างไร สำคัญแค่ไหน

หญิงและชายจะมีฮอร์โมนเพศในร่างกายทั้ง 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งจัดเป็นฮอร์โมนเพศหญิงและโปรเจสเตอโรนที่เป็นฮอร์โมนที่นำไปสร้างเป็นแอนโดรเจนที่เป็นกลุ่มฮอร์โมนเพศชายซึ่งมีหลายชนิด

เอสโตรเจนผลิตมาจากไหน?

ร่างกายสามารถผลิตเอสโตรเจนได้จากต่อมหมวกไตชั้นนอก จากรกและจากถุงไข่ในรังไข่ระยะที่กำลังเจริญเติบโต โดยเริ่มต้นจากการนำโคเลสเตอรอลในเลือดมาเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งต่อมาจะเปลี่ยนเป็นโปรเจสเตอโรน และสุดท้ายจึงได้เป็นเอสโตรเจน

เอสโตรเจนที่ร่างกายสร้างจัดเป็นเอสโตรเจนธรรมชาติ มีโครงสร้างเคมีเป็นสารกลุ่มสเตียรอยด์ 6 ชนิด แต่ที่สำคัญมี 3 ชนิด ได้แก่

  1. เอสไตรออล
  2. เอสโตรน
  3. เอสตราไดออล
เอสโตรเจนผลิตมาจากไหน
ในจำนวนเอสโตรเจนธรรมชาติ 3 ชนิดข้างต้น เอสตราไดออลจัดเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์แรงกว่าเอสโตรนและเอสไตรออล

เอสโตรเจนมีผลต่อร่างกายอย่างไร?

ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลต่อร่างกาย ดังนี้

  1. ทำให้มีลักษณะของเพศหญิง เช่น ช่วงไหล่แคบ สะโพกผาย มีหน้าอก และมีไขมันสะสมบริเวณสะโพก ผิวตึง มีเสียงแหลม ฯลฯ
  2. กระตุ้นการเจริญเติบโตของรังไข่ ถุงไข่ และไข่อ่อน
  3. ทำให้ปีกมดลูกหรือท่อนำไข่และกล้ามเนื้อมดลูกหดตัว กล้ามเนื้อเรียบ เช่น หลอดเลือดฝอย มีการเคลื่อนไหวบีบรัดมากขึ้น
  4. เซลล์มีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มดลูกมีขนาดใหญ่และผนังเยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น
  5. กระตุ้นเซลล์บริเวณปากมดลูกและช่องคลอดให้หลั่งน้ำเมือกหรือตกขาวที่ใส ไม่เหนียว และมีปริมาณมาก เพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ของอสุจิไปยังมดลูกและปีกมดลูก
  6. ทำให้มีการปิดของกระดูกในทางยาวหรือกระดูดในทางยาวหยุดเจริญเติบโต เราจะสังเกตได้ว่าเด็กผู้หญิงจะหยุดสูงเมื่อมีประจำเดือน ซึ่งหมายความว่ารังไข่ได้สร้างเอสโตรเจนแล้วนั่นเอง
  7. ยับยั้งการสลายของเนื้อกระดูก เนื่องจากเอสโตรเจนควบคุมให้เกิดความสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย โดยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมในลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าเกาะกับเนื้อกระดูกได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ลดการสลายตัวของแคลเซียมออกจากเนื้อกระดูก ผลคือทำให้เนื้อกระดูกหรือมวลกระดูดยังคงความหนาแน่น แข็งแรง ไม่เปราะบางและแตกหักง่าย
  8. มีผลต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน พบว่าเอสโตรเจนทำให้โคเลสเตอรอลชนิดดีหรือที่เรียกว่า เอชดีแอล โคเลสเตอรอล (HDL-cholesterol) เพิ่มขึ้นและปริมาณโคเลสเตอรอลนิดไม่ดีหรือที่เรียกว่า แอลดีแอล โคเลสเตอรอล(LDL-cholesterol) ลดลงนอกจานั้นยังทำให้ระดับของไตรกีเชอไรด์ลดลง การเปลี่ยนแปลงของไขมันในลักษณะนี้ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
  9. ทำให้ไตซับโซเดียวออกจากร่างกายน้อยลง มีผลให้เกิดการคั่งของน้ำและโซเดียมในร่างกาย
  10. มีผลต่อต่อมใต้สมองส่วนหน้า

พบว่าเอสโตรเจนในปริมาณต่ำจะกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่งฮอร์โมนเอฟเอสเอช (FSH) ซึ่งเอฟเอสเอชเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของถุงไข่และไข่อ่อน แต่ในทางกลับกัน ถ้ามีปริมาณเอสโตรเจนมาก กลับมีผลตรงกันข้าม คือ จะไปยังยั้งต่อมใต้สมองส่วนหน้าไม่ให้หลั่งเอฟเอสเอช เมื่อไม่มีเอฟเอสเอช ก็จะทำให้ไม่มีการเจริญเติบโตของถุงไข่อ่อนและไข่อ่อน

ในทางการแพทย์จึงได้นำผลของเอสโตรเจนข้อนี้มาใช้ในการคุมกำเนิด โดยทำเป็นยาเม็ดคุมกำเนิด เมื่อรับประทานเข้าไปก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณเอสโตรเจนในร่างกายให้มากขึ้น ทำให้มีผลยังยั้งต่อมใต้สมองส่วนหน้าไม่ให้หลั่งเอฟเอสเอช เมื่อไม่มีเอฟเอสเอช ถุงไข่และไข่อ่อนก็ไม่เจริญเติบโต เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ทางอ้อมนั่นเอง

นอกจากเอสโตรเจนธรรมชาติที่สร้างจากร่างกายแล้ว ยังมีเอสโตรเจนธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่พบในพืชต่างๆ เรียกกันอีกอย่างว่า “ไฟโตเอสโตรเจน” ซึ่งโครงสร้างทางเคมีของเอสโตเจนที่ได้จากพืชนี้ เป็นโครงสร้างเคมีที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ตัวอย่างเช่น ฟลาโวน ไอโซฟลาโวน และอนุพันธ์คูเมสแทน เป็นต้น

ไฟโตเอสโตรเจนต่างๆ เหล่านี้พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น ถั่วเหลือง ถั่วนัท ข้าวสาลี เมล็ดธัญพืช หัวกลอย และมันเทศ แต่ที่พบในปริมาณสูง คือ ถั่วเหลือง

เนื่องจากเอสโตรเจนธรรมชาติที่มาจากพืชและสัตว์มีการดูดซึมไม่ดี ประสิทธิภาพต่ำและระยะเวลาออกฤทธิ์สั้น จึงได้มีการสังเคราะห์ขึ้นในห้องทดลองเพื่อนำมาใช้ทางการแพทย์ เช่น ทำเป็นยาเม็ดคุมกำเนิด หรือใช้เป็นฮอร์โมนทดแทนในหญิงวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น

สรุปแล้ว เราสามารถแบ่งเอสโตรเจนออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

  1. เอสโตรเจนธรรมชาติ เป็นเอสโตรเจนที่ได้จากสิ่งมีชีวิต ซึ่งถ้าได้จากสัตว์จะมีโครงสร้างเคมีเป็นสเตียรอยด์ ถ้าได้จากพืชจะมีโครงสร้างเคมีไม่ใช่สเตียรอยด์ และเรียกอีกอย่างว่า “ไฟโตเอสโตรเจน”
  2. เอสโตรเจนสังเคราะห์ ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี อย่างไรก็ตามแม้ว่าเอสโตรเจนสังเคราะห์จะมีข้อดีกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติดังกล่าวข้างต้นก็ตาม แต่ก็มีผลที่ต้องระวังหลายข้อ เช่น
    1. เอสโตรเจนสังเคราะห์เมื่อให้โดยวิธีรับประทานจะถูกดูดซึมผ่านตับและมีผลทำให้การสร้างโปรตีนจากตับหลายชนิดเกิดการเปลี่ยนแปลง
    2. เอสโตรเจนสังเคราะห์ทำให้เมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรตและไขมันเปลี่ยนแปลง
    3. เอสโตรเจนสังเคราะห์ทำให้ระบบที่ควบคุมความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง
    4. เอสโตรเจนสังเคราะห์ทำให้การแข็งตัวของเลือดเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นเมื่อใช้เอสโตรเจนสังเคราะห์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงทำให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง ความดันโลหิตสูงขึ้น ตลอดจนเกิดลิ่มเลือดอุดตันตามอวัยวะต่างๆ เป็นต้น

ประโยชน์ของเอสโตรเจน

เอสโตรเจนสังเคราะห์ก็มีประโยชน์มากมายที่ใช้ในทางการแพทย์ คือ

  1. นำมาใช้ในหญิงวัยประจำเดือนที่มีภาวะผิดปกติจากการที่ร่างกายมีปริมาณเอสโตรเจนต่ำ และมีอาการแสดงออก เช่น นำมาใช้ในหญิงวัยประจำเดือนที่มีภาวะผิดปกติจากการที่ร่างกายมีปริมาณเอสโตรเจนต่ำ และมีอาการแสดงออก เช่น
    • มีอาการ้อนวูบวาบบริเวณผิวหนังตามร่างกาย
    • มีการฝ่อของระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเล็ด หูรูดกระเพาะปัสสาวะหย่อน อั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้
    • มีการฝ่อของเซลล์บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น เต้านมคล้อยลง ผนังช่องคลอดบางลงและแห้ง เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์และเกิดช่องคลอดอักเสบบ่อย มูกที่ปากมดลูกแห้งและมดลูกมีขนาดเล็กลง
    • มีภาวะกระดูกบางและพรุน
    • มีแนวโน้มเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
  2. นำมาใช้ทดแทนในหญิงที่มีเอสโตรเจนต่ำไม่เพียงพอหรือมีภาวะขาดเอสโตรเจน เช่น วัยรุ่นที่รังไข่ยังไม่ทำงานหรือทำงานต่ำ ทำให้มีการเจริญทางเพศช้ากว่าปกติ ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ต้องผ่าตัดเอารังไข่ออก ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้จะมีอาการต่างๆที่มาจากปริมาณเอสโตรเจนต่ำกว่าปกติเช่นเดียวกับหญิงวัยหมดประจำเดือน
  3. ใช้ในการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ทำเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดรับประทานเพื่อเพิ่มปริมาณเอสโตรเจนทำให้มีผลยังยั้งการหลั่งฮอร์โมนเอฟเอสเอชจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ซึ่งเท่ากับมีผลทางอ้อมทำให้ถุงไข่และไข่อ่อนไม่เจริญเติบโต
  4. ใช้ยังยั้งการหลั่งน้ำนมในหญิงระยะหลังคลอดที่มีน้ำนมมากกว่าปกติ
  5. ใช้เพื่อเลื่อนประจำเดือน
  6. ใช้เพื่อลดอาการปวดประจำเดือน
  7. ใช้เพื่อทำให้รอบเดือนเป็นปกติหรือปรับประจำเดือนให้มาตามกำหนดเวลา

เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจระดับฮอร์โมน

Scroll to Top