โรคเครียด เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการปรับตัวต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในชีวิต สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และไม่ใช่ความผิดปกติร้ายแรงแต่อย่างใด เพราะทุกคนย่อมมีความเครียดเกิดขึ้นได้
ความแตกต่างของโรคเครียดในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันที่ระดับความเครียด ระยะเวลาที่สามารถบรรเทาให้ความเครียดเบาลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการกับปัญหา สภาพแวดล้อมโดยรอบ และการปรับตัวกับความเครียดที่เกิดขึ้น
สารบัญ
สาเหตุของโรคเครียด
ความเครียดเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่
ปัจจัยภายนอก
มักเป็นปัจจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ครอบครัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวผู้ป่วย เช่น
- การย้ายบ้าน ย้ายถิ่นฐานไปที่ไกลๆ
- การเปลี่ยนงาน
- ความกดดันในที่ทำงาน หรือจากคนในครอบครัว
- การหย่าร้าง การเลิกรากับคนรัก
- ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว
- ภาวะเศรษฐกิจ หรือปัญหาด้านการเงิน
- เหตุการณ์บ้านเมือง
- ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม คลื่นยักษ์ ไฟไหม้
ปัจจัยภายในตัวผู้ป่วยเอง
จะเป็นปัจจัยเกี่ยวกับอุปนิสัย ความคิดของตัวผู้ป่วยเอง เช่น
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทั้งในวัยรุ่น และวัยหมดประจำเดือน
- มีความคาดหวังสูง
- ต้องการความสำเร็จสูง
- มีความอ่อนไหว หรือวิตกกังวลง่าย
- บุคลิกภาพแบบสมบูรณ์แบบ ไม่ยืดหยุ่น
- เป็นคนปรับตัวกับสิ่งรอบตัวยาก
ชนิดของโรคเครียด
โรคเครียดแบ่งออกได้หลักๆ 2 ประเภท ได้แก่
1. โรคเครียดแบบฉับพลัน (Acute Stress) เป็นความเครียดที่ขึ้นอย่างฉับพลัน และร่างกายจะตอบสนองต่อความเครียดทันที มักเกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เช่น ความร้อน ความเย็น อาการตกใจ การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลัว หรือกังวลกระทันหัน
2. โรคเครียดแบบเรื้อรัง (Chronic Stress) เป็นโรคเครียดที่เกิดจากการสะสมความเครียดเป็นเวลานาน และร่างกายไม่สามารถแสดงออก หรือระบายความเครียดออกมาได้ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม บุคลิกภาพ รวมถึงร่างกาย เช่น
- การขัดแย้งกับคนในที่ทำงาน หรืองานที่ทำ
- มีปัญหากับคนในครอบครัว
- ปัญหาด้านการเรียน
- ความเหงา
อาการของโรคเครียด
โรคเครียดจะส่งผลให้ร่างกายมีอาการแสดงที่ผิดปกติออกมาทั้งภายใน และภายนอก รวมถึงบุคลิก และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วย ได้แก่
อาการแสดงออกทางกาย
เป็นอาการซึ่งจะเกิดขึ้นในส่วนของอวัยวะที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ ได้แก่
- ระบบทางเดินอาหาร กระเพาะอาหารจะหลั่งกรดมากผิดปกติ ทำให้กระเพาะอาหารเป็นแผล ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด อาหารย่อยลำบาก คลื่นไส้อาเจียน ลำไส้เกิดการหดตัวมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ถ่ายบ่อย หรือท้องฟูก
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบลง มีไขมันมาเกาะเส้นเลือด ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตัน เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และความดันโลหิตสูง
- ระบบกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งจนเกิดอาการปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อต่างๆ ทั่วร่างกาย
- ระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่สะดวก เหนื่อยง่าย จุก แน่นหน้าอก
อาการแสดงออกทางจิตใจ และอารมณ์
เป็นอาการเกี่ยวกับสภาวะอารมณ์ สมาธิหรือการตัดสินใจต่างๆ ของผู้ป่วย เช่น
- วิตกกังวล
- ซึมเศร้า รู้สึกเศร้าตลอดเวลา
- การตัดสินใจไม่ดี หรือโลเล
- ขี้ลืม ความจำไม่ดี
- ขาดสมาธิ
- ไม่มีความคิดริเริ่ม ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้
- โกรธง่าย ฉุนเฉียวขึ้น หรือหงุดหงิดง่ายขึ้น
- เบื่อซึม ท้อแท้
- มองโลกในแง่ร้าย
อาการแสดงออกทางพฤติกรรม
เป็นอาการเกี่ยวกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น และมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น
- รับประทานอาหารเยอะขึ้นกว่าปกติ
- ซื้อของบ่อยขึ้น มีพฤติกรรมใช้เงินฟุ่มเฟื้อย
- เบื่ออาหาร
- นอนไม่หลับ หรือนอนหลับยากขึ้นกว่าเดิม
- กัดเล็บ
- ดึงผม
- ติดบุหรี่ ติดสุรา หรือหันไปบริโภคแอลกอฮอล์ ทั้งๆ ที่ไม่เคยดื่มมาก่อน
- พูดจาก้าวร้าวขึ้น หรือพูดน้อยลง
- ทำร้ายร่างกาย หรือทำร้ายผู้อื่น ทำลายข้าวของ
- เปลี่ยนงานบ่อย
- แยกตัว ไม่เข้าสังคม
- ฆ่าตัวตาย
การตรวจประเมินความเครียด
บางครั้งความเครียดก็สามารถเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว แบบประเมินความเครียดด้วยตัวเองจากแบบประเมินซึ่งพัฒนาโดยกรมสุขภาพจิต จะเป็นตัวช่วยในการคัดกรองภาวะเครียดที่กำลังเกิดขึ้น และช่วยให้เรารู้แนวทางการดูแลตัวเอง และจัดการกับความเครียดได้อย่างเหมาะสม
โดยให้สำรวจอาการที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ว่ามีอาการ หรือความรู้สึกต่อไปนี้มากน้อยเพียงใด
- คะแนน 0 หมายถึง แทบไม่มี
- คะแนน 1 หมายถึง เป็นบางครั้ง
- คะแนน 2 หมายถึง บ่อยครั้ง
- คะแนน 3 หมายถึง เป็นประจำ
ข้อที่ | อาการหรือความรู้สึกที่เกิดในระยะ 2-4 สัปดาห์ | คะแนน | |||
0 | 1 | 2 | 3 | ||
1 | มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับหรือนอนมาก | ||||
2 | มีสมาธิน้อยลง | ||||
3 | หงุดหงิด/กระวนกระวาย/ว้าวุ่นใจ | ||||
4 | รู้สึกเบื่อ เซ็ง | ||||
5 | ไม่อยากพบปะผู้คน |
การแปรผล
- คะแนน 0-4 เครียดน้อย
- คะแนน 5-7 เครียดปานกลาง
- คะแนน 8-9 เครียดมาก
- คะแนน 10-15 เครียดมากที่สุด
การรักษาโรคเครียด
การรักษาโรคเครียดจะใช้หลายวิธีร่วมกัน ได้แก่
การรักษาด้วยยา
วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อช่วยบรรเทาอาการทางกายให้ดีขึ้น เช่น
- ใช้ยาลดกรดในกระเพาะ เพื่อรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- ยาลดความดันโลหิต เพื่อลดระดับความดันโลหิต
- ใช้ยาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อตามจุดต่างๆ
- ให้ยากลุ่มคลายเครียด เพื่อช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้ง่ายขึ้น หรือมีอาการเครียดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ แต่ก็มีความจำเป็นเพราะจะช่วยลดอาการต่างๆ ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวมากขึ้น และทำให้ง่ายต่อการจัดการกับปัญหา หรือความเครียดที่เป็นต้นเหตุต่อไป ไม่เช่นนั้นอาการทางกายอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีความเครียดมากขึ้นได้
การรักษาด้วยการทำจิตบำบัด
เป็นการรักษาด้วยเพื่อให้ผู้ป่วยได้ปรับสภาพจิตใจ และสามารถจัดการกับความเครียดข้างในความคิดได้ เช่น
- เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดด้วยตัวเอง เช่น ฝึกสมาธิ ออกกำลังกาย
- การเสริมทักษะในการปรับตัว และการจัดการปัญหา
- การเข้าร่วมกลุ่มทางสังคม
- การทำจิตบำบัดแบบกลุ่ม และการทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่ม
- การปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
คุณสามารถเข้ารับการรักษาโรคเครียด หรือบรรเทาอาการเครียดที่เกิดขึ้นได้จากการพบนักจิตบำบัด หรือปรึกษาจิตแพทย์ในโรงพยาบาล หรือหากคุณยังไม่พร้อมจะเข้าพบแพทย์ คุณอาจปรึกษาเพื่อนสนิท แฟน หรือคนใกล้ชิดในครอบครัวเพื่อระบายความเครียดและหาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีช่องทางการติดต่อจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพจิตจากหลายโรงพยาบาล ที่คุณสามารถโทรไปปรึกษาเพื่อหาทางจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้น เช่น
- สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย มีบริการอาสาสมัคร “รับฟังด้วยใจ” โดยสามารถติดต่อได้ที่ โทร. 0-27136793
- สายด่วน Depress we care โรงพยาบาลตำรวจ โทร. 081-9320000
- สายด่วนสุขภาพจิต โรงพยาบาลราชวิถี โทร. 0-23548152
ความเครียดเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกวันของชีวิตคนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง และรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่ไม่อาจคาดเดาได้
สิ่งที่คุณทำได้ คือ การเตรียมรับมือ ยอมรับตนเองว่าอยู่ในภาวะโรคเครียด และไม่อายที่จะบอกเล่าปัญหาให้คนใกล้ชิดฟังเพื่อแบ่งเบาภาระทางใจ หรือคุณสามารถไปพบจิตแพทย์ เพื่อหาทางรักษาที่เหมาะสมต่อไป