มะเร็งปอด (Lung cancer) เป็นหนึ่งในโรคที่อันตรายถึงชีวิต ผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งปอดมักจะเข้าสู่ระยะลุกลาม หรือก้อนเนื้อร้ายมีขนาดใหญ่แล้ว ทำให้การรักษาเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
สาเหตุเป็นเพราะส่วนใหญ่แล้ว มะเร็งปอดไม่ได้มีอาการแสดงออกมาในระยะแรกๆ ผู้ที่เป็นจึงไม่รู้ตัวและพลาดโอกาสในการรักษาตั้งแต่ระยะแรกไป
การตรวจปอดเพื่อคัดกรองมะเร็งปอด และเช็กความผิดปกติตั้งแต่ยังไม่มีอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต่อไปนี้เป็นข้อควรรู้ก่อนการตรวจปอด
สารบัญ
การตรวจปอดคืออะไร?
การตรวจปอด (Lung cancer) คือการตรวจหาสัญญาณผิดปกติต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งปอดได้ แม้ผู้รับบริการจะยังไม่มีอาการแสดงออกมาเลยก็ตาม
หากพบสัญญาณผิดปกติ แพทย์จะได้วางแผนการตรวจยืนยันผลต่อไปได้ว่าความผิดปกตินั้นเกิดจากอะไร และกำหนดแนวทางการรักษาได้ทัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับปอดทุกคนจะไม่มีอาการอะไรเลย เพราะบางกรณีอาจมีอาการแสดงให้เห็นออกมาได้ ดังนี้
- ไอเยอะ
- ไอมีเลือดปน
- เจ็บหน้าอก
- เสียงแหบ
- เบื่ออาหาร
- หายใจหอบถี่
- อ่อนแรง
- หายใจลำบาก
หากมีอาการดังกล่าว ควรไปตรวจปอดกับแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการ เพราะอาการที่กล่าวไปอาจเกิดได้จากหลายโรคเช่นกัน
ตรวจปอดตรวจอะไรบ้าง?
รายการการตรวจปอดของแต่ละสถานที่ แต่ละโปรแกรมตรวจ อาจมีความแตกต่างกันออกไป หรือบางครั้งอาจพบรายการตรวจปอดในโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไปได้เช่นกัน
แต่สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจปอดอย่างเฉพาะเจาะจง รายการพื้นฐานที่พบได้บ่อย อาจมีดังต่อไปนี้
1. ตรวจร่างกายโดยแพทย์
การตรวจร่างกายโดยแพทย์ (Physical examination: PE) เป็นการตรวจพื้นฐานที่พบได้เกือบทุกโปรแกรมตรวจสุขภาพ
ส่วนมากเป็นการซักประวัติทั่วไป เช่น อาการผิดปกติที่เป็น พฤติกรรมการกินเป็นอย่างไร สูบบุหรี่ไหม ทำงานเกี่ยวกับสารเคมีชนิดใดหรือไม่ พฤติกรรมการออกกำลังกาย โรคประจำตัว และยาที่ใช้
นอกจากนี้อาจมีการวัดชีพจร ความดัน น้ำหนัก ส่วนสูง ขั้นตอนนี้จะช่วยให้แพทย์เก็บประวัติผู้บริการไว้สำหรับประกอบคำวินิจฉัย รวมถึงเป็นการเช็กความพร้อมก่อนตรวจด้วยอุปกรณ์อื่นๆ ต่อไป
2. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์รังสีต่ำ (Low dose computed tomography: LDCT)
การตรวจปอดด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์รังสีต่ำ เป็นการปล่อยคลื่นรังสีเอกซเรย์เข้าไปในทรวงอก และให้อวัยวะภายในดูดซับรังสีเอาไว้ โดยอวัยวะภายในแต่ละส่วนจะดูดซับรังสีได้แตกต่างกัน ทำให้ภาพที่เห็นมีสีขาวไปจนถึงดำแตกต่างกัน
การตรวจปอดด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์รังสีต่ำสามารถคัดกรองสัญญาณของมะเร็งปอดได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการใดๆ แต่สามารถเห็นรอยโรค หรือเนื้องอกในปอดขนาดเล็กได้ชัดเจน
หากพบชิ้นเนื้อผิดปกติ อาจมีการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจในห้องปฎิบัติการเพื่อยืนยันผล
การตรวจนี้ไม่ต้องอดอาหาร เพียงแค่กลั้นหายใจระยะสั้นๆ ไม่กี่วินาทีระหว่างเครื่องทำการสแกน เพื่อให้ภาพที่ออกมาค่อนมีความแม่นยำมากขึ้น ขั้นตอนทั้งหมดรวมแล้วใช้เวลาเพียง 10 นาที เท่านั้น
3. ตรวจด้วยเครื่องเพ็ทซีที (Positron emission tomography: PET)
การตรวจปอดด้วยเครื่องเพ็ทซีที (Positron emission tomography: PET) เป็นการถ่ายภาพภายในร่างกายเช่นเดียวกับ LDCT แต่มีความซับซ้อนกว่า และให้ข้อมูลที่ละเอียดกว่า
การตรวจปอดด้วย PET จะเพิ่มขั้นตอนการฉีดสารรังสีติดตาม (Radiotracer) เข้าไปในกระแสเลือดเพื่อให้ไปจับกับเซลล์มะเร็ง จากนั้นค่อยให้ผู้รับบริการเข้าไปสแกนถ่ายภาพในเครื่อง PET
โดยเครื่องจะปล่อยรังสีออกมาเพื่อตรวจดูว่าสารรังสีติดตามที่ฉีดเข้าไปนี้ ไปกระจุกตัวอยู่ที่ไหนบ้าง หากพบว่าเกาะติดอยู่บริเวณใดของปอดมากเป็นพิเศษ ก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
ขั้นตอนการตรวจด้วย PET อาจมีดังนี้
- แพทย์อาจให้งดอาหารและเครื่องดื่ม 8 ชั่วโมงก่อนทำการตรวจ เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง เพราะสารรังสีติดตามนี้สามารถติดกับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน
- เมื่อถึงเวลานัด แพทย์อาจซักประวัติและสอบถามข้อมูลเบื้องต้นอีกครั้ง เช่น เวลาที่เริ่มอดอาหาร ยาประจำตัวหรืออาหารเสริมที่กิน รวมถึงหากตั้งครรภ์อยู่ควรแจ้งให้ทราบด้วย
- หลังจากนั้น พยาบาลอาจฉีดสารรังสีติดตามให้ และเว้นระยะให้สารดังกล่าวดูดซึมในร่างกาย 30-60 นาที
- แพทย์จะให้ถอดอุปกรณ์เครื่องประดับออกทั้งหมด เช่น สร้อย แหวน กำไร เพราะอาจรบกวนผลการตรวจได้
- แพทย์จะให้เข้าสู่เครื่อง PET เป็นเวลา 20-30 นาที เครื่องจะทำการตรวจจับแหล่งที่สารตรวจจับเดินทางไปอยู่ ซึ่งจับตัวได้ดีกับเซลล์มะเร็ง ระหว่างที่อยู่ใน PET ไม่ควรขยับร่างกายไปมา เพราะอาจทำให้ผลคลาดเคลื่อน
- หลังจากสแกนเสร็จ สารดังกล่าวที่ฉีดเข้าไปจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะในไม่กี่ชั่วโมง
แม้เครื่อง PET อาจให้รายละเอียดได้ดีกว่า แต่ในการวินิจฉัยมะเร็งปอด แพทย์อาจให้ทำทั้ง PET และ LDCT ร่วมกันเพื่อนำข้อมูลมาประกอบคำวินิจฉัย
4. ตรวจเสมหะ
การตรวจเสมหะเป็นการหาเซลล์มะเร็งในสารคัดหลั่ง โดยวิธีการอาจทำได้โดยหายใจเข้าลึกๆ และไอเอาเสมหะจากภายในออกมาใส่ไว้ในถ้วย
ใครควรตรวจปอด?
ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจปอด อาจมีดังต่อไปนี้
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด (เฉลี่ยวันละ 1 ซองมานานกว่า 30 ปี) ที่มีอายุ 55 ปี ขึ้นไป
- ผู้ที่เคยสูบบุหรี่จัด แต่เลิกหรือลดมาแล้วในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา
- ผู้ที่มีประวัติใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่เป็นเวลานาน
- ผู้ที่ทำกิจกรรมที่สัมผัส หรือใกล้ชิดกับสารเคมี เรดอน (Radon) สารหนู (Arsenic) แคดเมียม (Cadmium) นิกเกิล (Nickel) ซิลิกา (silica) แร่ใยหิน (Asbestos)
- ผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งปอดมาก่อน
- ผู้ที่เริ่มมีอาการบ่งบอกถึงมะเร็งปอด
- ผู้ที่เป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease: COPD)
โดยสรุปแล้ว การตรวจปอดไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการผิดปกติแสดงออกมาก่อน แต่สามารถสังเกตได้จากการใช้ชีวิตประจำวัน และปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรมของคนในครอบครัว