การรักษานิ่วในถุงน้ำดีระหว่างการตั้งครรภ์


การรักษานิ่วในถุงน้ำดีระหว่างการตั้งครรภ์

นิ่วในถุงน้ำดี คือก้อนของน้ำดี ซึ่งเกิดจากน้ำ ไขมัน cholesterol, bilirubin และเกลือ โดยปกติแล้วน้ำดีจะถูกปล่อยลงลำไส้เล็กเพื่อช่วยย่อยไขมัน แต่บางครั้งน้ำดีก็อาจเกิดการรวมตัวกันและทำให้เกิดนิ่วได้ หากเป็นนิ่วในถุงน้ำดีและไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือถุงน้ำดีแตกได้

โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงมีโอกาสเกิดนิ่วสูงกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า และมีโอกาสเกิดเพิ่มขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ เนื่องจากระหว่างการตั้งครรภ์จะมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งจะทำให้มี Cholesterol ในน้ำดีสูงขึ้น เป็นผลให้ผู้หญิงประมาณ 5-6% จะมีนิ่วในถุงน้ำดีระหว่างการตั้งครรภ์

วิธีการรักษานิ่วในถุงน้ำดีที่ใช้บ่อยที่สุดระหว่างการตั้งครรภ์ก็คือการใช้ยา แต่พบว่าภาวะนี้จัดเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการผ่าตัดที่ไม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์เป็นอันดับที่ 2 มีผู้หญิงประมาณ 1 ใน 1600 ที่มีการผ่าตัดถุงน้ำดีออกเนื่องจากมีนิ่วระหว่างการตั้งครรภ์ นิ่วในถุงน้ำดียังเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ที่อ้วนและน้ำหนักเพิ่มหรือลดอย่างรวดเร็ว และในผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์อีกด้วย

อาการของนิ่วในถุงน้ำดีคืออะไร?

นิ่วในถุงน้ำดีอาจทำให้เกิดอาการชัดเจนเหล่านี้บางครั้งแต่ไม่เสมอไป ประกอบด้วย

  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • ปวดบริเวณท้องด้านบนขวาอย่างฉับพลัน (ตำแหน่งอาจเปลี่ยนได้ตามระยะการตั้งครรภ์)
  • อาจมีไข้ได้

แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะมีอาการของนิ่วในถุงน้ำดีระหว่างการตั้งครรภ์ หากคุณมีอาการและสงสัยว่าเกิดจากนิ่ว อาจต้องใช้การตรวจเพิ่มเติม การตรวจเลือดอาจไม่ให้ผลที่ดีมากนักในหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายระหว่างการตั้งครรภ์ แต่สามารถใช้การตรวจ ultrasound เพื่อตรวจหานิ่วในถุงน้ำดีระหว่างการตั้งครรภ์ในผู้ป่วยส่วนมากได้

จะรักษานิ่วในถุงน้ำดีระหว่างการตั้งครรภ์ได้อย่างไร?

แพทย์จะทำการแนะนำการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือการรอให้อาการสงบลงจากการดูอาการและการตรวจอื่น ๆ คุณสามารถทำอะไรได้บ้างนอกจากรอการผ่าตัด? คุณอาจลองปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร โดยลดปริมาณการรับประทานของทอดและของมัน คุณอาจจะได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการปวด แพทย์บางคนอาจแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดเลย เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเป็นซ้ำสูงขึ้นและอาจรุนแรงมากขึ้นได้

ไตรมาสที่ 1

มักไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดในช่วงนี้ยกเว้นในรายที่มีอาการรุนแรง เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดการแท้งสูงกว่า นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติแต่กำเนิดสูงขึ้นจากการใช้ยาที่จำเป็นในการผ่าตัด ดังนั้น หากสามารถทำได้ มักจะรอจนเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 หรือหลังจากการคลอดบุตรจึงจะทำการผ่าตัด

ไตรมาสที่ 2

การผ่าตัดในช่วงนี้เป็นระยะที่ปลอดภัยที่สุด

นอกจากนั้นไตรมาสนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ง่ายที่สุดสำหรับการทำหัตถการเช่นการผ่าตัดส่องกล้องแทนการผ่าตัดเปิดทางหน้าท้องซึ่งจะมีแผลใหญ่กว่าและใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า

ไตรมาสที่ 3

หากเข้าสู่ระยะนี้ แพทย์อาจแนะนำให้รอ เนื่องจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเป็นไปได้ยากขึ้น และอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด โดยอาจะแนะนำให้ทำการตัดถุงน้ำดีในช่วงหลังคลอดบุตรแทน


บทความแนะนำ


ที่มาของข้อมูล

ขยาย

ปิด

@‌hdcoth line chat