เมื่อเจ้าตัวเล็กแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด กรีดร้อง โวยวาย ลงไปชักดิ้นชักงอ ตอนไม่พอใจ คนเป็นพ่อแม่คงหนักใจไม่น้อย มาสอนลูกให้รู้จักรับมือกับอารมณ์ร้าย ๆ กันเถอะ
จริง ๆ แล้ว เด็กก็ไม่ต่างกับผู้ใหญ่ที่เรียนรู้การควบคุมอารมณ์และความรู้สึก เพื่อแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม เพียงแค่พ่อแม่ต้องรู้วิธี บทความนี้เอาคำแนะนำดี ๆ ที่ช่วยฝึกเจ้าตัวเล็กให้จัดการกับอารมณ์โกรธ ความรู้สึกแง่ลบมาฝากกัน
สารบัญ
- 1. พ่อแม่เป็นต้นแบบที่ดี
- 2. สอนให้ลูกรู้จักอารมณ์ตัวเอง
- 3. ให้ลูกบันทึกความรู้สึกตนเองในแต่ละวัน
- 4. สอนให้ลูกควบคุมอารมณ์ตัวเอง
- 5. พ่อแม่เป็นกระจกสะท้อนให้ลูก
- 6. สอนให้ลูกแยกพฤติกรรมให้ออก
- 7. ฝึกให้ลูกคิดล่วงหน้า
- 8. ไม่ลงโทษลูกด้วยความโกรธ
- 9. พ่อแม่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย
- 10. สอนให้ลูกให้อภัยตัวเองเมื่อผิดพลาด
1. พ่อแม่เป็นต้นแบบที่ดี
เด็ก ๆ เป็นวัยที่กำลังเติบโตและมักจะมีพฤติกรรมเลียนแบบ ตัวเล็กจะสังเกตและจดจำพฤติกรรมการแสดงออกของคนรอบตัว โดยเฉพาะคนใกล้ตัวเด็กอย่างพ่อแม่ หรือคนที่เลี้ยงดู
เมื่อพ่อแม่มีอารมณ์โกรธ อารมณ์ไม่ดี ไม่ควรแสดงออกพฤติกรรมรุนแรง เช่น การทะเลาะกัน การตะโกน การดุด่าด้วยคำหยาบคายต่อกัน เพราะเด็กยังไม่เข้าใจการกระทำของผู้ใหญ่ เด็กจะซึมซับและทำตามพฤติกรรมเหล่านั้น
พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรเป็นต้นแบบที่ดีในการแสดงออก ระมัดระวังพฤติกรรมที่แสดงออกตอนมีเด็กอยู่ใกล้ ๆ จะให้ผลดีมากกว่าการพร่ำสอนหรือบอกให้ลูก ๆ ทำตามคำสั่ง
2. สอนให้ลูกรู้จักอารมณ์ตัวเอง
พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้ทันอารมณ์ตัวเองก่อน อารมณ์ไหนเรียกอะไร เป็นแบบไหน โดยสามารถใช้สื่อการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิทาน รูปภาพ การ์ตูนสั้น ๆ ที่แสดงสีหน้าชัดเจน แล้วชวนลูกพูดคุยเกี่ยวกับอารมณ์นั้น เช่น ตอนไหนที่หนูดีใจบ้าง อะไรทำให้หนูเสียใจบ้าง
รวมถึงชวนให้ลูกสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ลองให้เด็กเอามือทาบหน้าอกตนเองแล้วนับจังหวะการเต้นของหัวใจ พร้อมอธิบายว่าอันนี้เป็นหัวใจเต้นตอนลูกปกติ ถ้าลูกโกรธจะเป็นแบบไหน เช่น เสียงดัง ใบหน้าหรือฝ่ามือร้อนผ่าว หัวใจเต้นเร็ว เพื่อให้ลูกได้สังเกตตัวเอง
3. ให้ลูกบันทึกความรู้สึกตนเองในแต่ละวัน
พ่อแม่สามารถช่วยให้ลูกรู้จักอารณ์ตัวเองได้มากขึ้นผ่านคำถามง่าย ๆ เช่น “ไปโรงเรียนสนุกไหมลูก” “วันนี้หนูรู้สึกอะไรบ้าง”
หรือให้ลูกทำสมุดบันทึกอารมณ์ของตัวเอง เพื่อให้เด็กได้สำรวจอารมณ์ตัวเองในแต่ละวัน โดยแต่ละอารมณ์จะแทนด้วยสีหรือสัญลักษณ์ต่างกัน ลูกสามารถกำหนดเองได้ และวันเดียวกันก็อาจจะมีหลายอารมณ์ เช่น เมื่อมีความสุขจะใช้สีชมพู เมื่อโกรธจะใช้สีแดง
นอกจากนี้ อาจจะใช้เป็นการจดบันทึกง่าย ๆ โดยให้ลูกจด 3 หัวข้อ คือ ตัวกระตุ้นที่ทำให้โกรธ สิ่งที่ห้ามทำเมื่อเกิดอารมณ์เหล่านั้น และสิ่งใดที่ทำได้แทน สิ่งเหล่านี้จะสอนให้ลูกเข้าใจอารมณ์ตัวเองมากขึ้น
4. สอนให้ลูกควบคุมอารมณ์ตัวเอง
เมื่อลูกรู้สึกโกรธ อารมณ์ไม่ดี โมโห หรือความรู้สึกในแง่ลบเกิดขึ้น พ่อแม่ควรสอนให้เด็กพูดสิ่งที่รู้สึกออกมา หรือถามลูกโดยตรง เช่น “หนูหงุดหงิดที่แม่ชอบบ่น” “ผมโกรธที่พี่แย่งของเล่น” “หนูโกรธแล้วนะ” “หนูโกรธแม่ใช่ไหม”
ถ้ายังรู้สึกไม่ดีขึ้น พ่อแม่สามารถแนะนำให้ลูกลองจัดการกับอารมณ์ไม่ดีวิธีอื่น ๆ โดยไม่ให้โต้ตอบกับความรู้สึกโกรธนั่น เช่น
- การฝึกนับเลขแบบเรียงลำดับ เช่น 1, 1-2, 1-2-3, 1-2-3-4 ไปจนครบ 10 ถ้าลูกนับผิดหรือนับข้าม ให้เริ่มนับใหม่อีกครั้ง
- เดินหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี
- พูดขอเวลาไปสงบสติอารมณ์เงียบ ๆ คนเดียว
- ทำกิจกรรมอื่นที่ลูกชอบ เช่น ฟังเพลง กอดตุ๊กตา หรือเล่นของเล่น
5. พ่อแม่เป็นกระจกสะท้อนให้ลูก
พ่อแม่เองก็เป็นกระจกสะท้อนอารมณ์ให้ลูกได้ ด้วยการบอกความรู้สึกของพ่อแม่เองอย่างใจเย็น เช่น “แม่รู้สึกเสียใจที่หนูตะโกนใส่แม่นะ” “พ่อโกรธที่ลูกปาของใส่พ่อ” ทำให้เด็กรู้จักอารมณ์ของตัวเอง รู้จักเชื่อมโยงอารมณ์กับสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงได้
เมื่อเด็กอารมณ์สงบแล้ว พ่อแม่ถึงค่อยสอนสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูก พร้อมกับพูดชื่นชมถ้าเด็กจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีด้วย โดยให้ใช้ภาษาเข้าใจง่าย สั้น ๆ
6. สอนให้ลูกแยกพฤติกรรมให้ออก
พ่อแม่ควรบอกลูกว่าเมื่อรู้สึกโกรธ สามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เด็กแยกแยะได้ว่าพฤติกรรมแบบใดเป็นปัญหา แบบใดไม่เป็นปัญหา เช่น ถ้าหนูโกรธ หนูต้องเดินไปบอกคุณครู หนูตีคนอื่นไม่ได้นะลูก
พร้อมเน้นย้ำลูกว่าอารมณ์โกรธเป็นเรื่องปกติ ลูกสามารถโกรธได้ บอกให้คนอื่นรู้ว่าลูกโกรธได้ แต่ลูกจะไม่ทำลายข้าวของ ไม่ทำร้ายผู้อื่น และไม่ทำร้ายตัวเอง
7. ฝึกให้ลูกคิดล่วงหน้า
พ่อแม่สามารถชวนลูกมาพูดคุยและหาทางร่วมกัน ถ้าเกิดสถานการณ์ขัดแย้งหรือตึงเครียด ลูกคิดว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นยังไง พ่อแม่จะได้แนะนำพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกได้ นอกจากช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้เด็กมีทักษะแก้ไขปัญหาอีกด้วย
8. ไม่ลงโทษลูกด้วยความโกรธ
การลงโทษลูกด้วยอารมณ์ที่โกรธ ไม่ว่าจะเป็นการตี การดุด่า หรือการกระทำรุนแรงอื่น ๆ อาจช่วยให้เด็กหยุดการกระทำในตอนนั้นได้ แต่ไม่ได้ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ว่าควรจัดการกับอารมณ์หรือพฤติกรรมตัวเองอย่างไร
เด็กบางคนอาจโต้ตอบด้วยการแสดงพฤติกรรมที่เกรี้ยวกราดมากขึ้นกว่าเดิม หรือติดเป็นนิสัยจนไปทำกับคนอื่นแบบเดียวกับที่โดนลงโทษมา และอาจสร้างบาดแผลในใจให้ลูกอีกด้วย ถ้าลูกทำผิดก็ควรสอนพฤติกรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่การลงโทษโดยใช้อารมณ์
พ่อแม่ต้องนึกเสมอว่าเราต้องสอนลูกมากกว่าการสั่ง ซึ่งการสอนเป็นการแชร์หรือแนะนำให้ลูกเกิดความคิด ส่วนการสั่งเป็นการควบคุมลูกทำตามโดยไม่เต็มใจ เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้และเติบโตไปอีกขั้น
9. พ่อแม่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย
เด็กจะแสดงความรู้สึกออกมาได้ดีเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกปลอดภัย พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความเห็นและอารมณ์ของตัวเองออกมาก่อน โดยยังไม่ต้องสั่งสอนหรือตักเตือนลูกก่อน ทำให้ลูกรู้สึกเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขา จะช่วยให้เด็กกล้าพูดมากขึ้น
10. สอนให้ลูกให้อภัยตัวเองเมื่อผิดพลาด
การปล่อยให้เด็กย้ำถึงความผิดพลาดของตัวเองไม่ได้ส่งผลดีเท่าไรนัก พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักให้อภัยตนเองเมื่อผิดพลาด ทุกคนเริ่มใหม่ได้เสมอ เช่น เมื่อลูกไม่ทันระวัง ปัดแก้วน้ำตกพื้น ก็อาจลองบอกลูกว่า “แม่อยากให้หนูระวังมากขึ้นนะคะ เพราะแก้วอาจบาดหนูได้”
การสอนให้ลูกเข้าใจอารมณ์โกรธ จัดการอารมณ์ตัวเองให้เป็น เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม ซึ่งจะช่วยให้เด็กเติบโตไปอย่างมีคุณภาพ และเป็นเด็กน่ารัก ๆ สำหรับทุกคน
ลูกร้องกรี๊ด ๆ โมโหโวยวาย รับมือไม่ถูก อย่ารอให้ลูกติดนิสัย ขอคำปรึกษาคุณหมอก่อนสาย หาแพ็กเกจเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก HDmall.co.th รวมมาให้แล้ว คลิกเลย