Default fallback image

รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับ ถุงน้ำที่ข้อมือ ไม่ว่าวัยไหนก็เป็นได้

ถุงน้ำที่ข้อมือ หรือทางการแพทย์เรียกว่า Ganglion Cyst คือก้อนนูนที่เกิดขึ้นบริเวณข้อมือหรือตามข้อต่ออื่นๆ ของร่างกาย มักไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะหากเกิดอาการปวด บวม หรือกดทับเส้นประสาท ทำให้มือชา อ่อนแรง หรือเคลื่อนไหวไม่สะดวก

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักถุงน้ำชนิดนี้ให้ครบทุกแง่มุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย วิธีรักษา และแนวโน้มในการกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง

1. ถุงน้ำที่ข้อมือคืออะไร?

ตอบ: ถุงน้ำที่ข้อมือ หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า ถุงน้ำกังกลีออน (Ganglion Cyst) คือก้อนขนาดเล็กที่มักเกิดขึ้นใต้ผิวหนัง บริเวณข้อหรือเส้นเอ็น โดยเฉพาะข้อมือด้านบนหรือด้านฝ่ามือ ถุงน้ำนี้มีลักษณะเป็นของเหลวใสคล้ายเจลลี่ที่ถูกสะสมไว้ในถุงหรือโพรงเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากข้อหรือปลอกหุ้มเส้นเอ็น

ลักษณะทั่วไปของถุงน้ำที่ข้อมือ

  • ขนาดประมาณ 1–3 เซนติเมตร สามารถใหญ่ขึ้นได้ หากมีการใช้งานข้อมือบ่อย
  • มักไม่เจ็บ ยกเว้นว่า จะกดทับเส้นประสาท
  • คลำดูจะรู้สึกว่าเคลื่อนตัวเล็กน้อยได้
  • ผิวหนังที่อยู่เหนือก้อนมักดูปกติ

ตำแหน่งที่พบบ่อย

  • ด้านหลังของข้อมือ พบมากที่สุด
  • ด้านฝ่ามือของข้อมือ เรียกว่า Volar Ganglion Cyst
  • ข้อนิ้วมือด้านบนหรือล่าง มักพบในผู้สูงอายุ เรียกว่า Mucous Cyst
  • บริเวณหัวแม่มือ ข้อศอก หรือข้อเท้า พบน้อยกว่า

2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดถุงน้ำที่ข้อมือคืออะไร?

ตอบ: แม้จะยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่า สาเหตุใดทำให้เกิดถุงน้ำ แต่ทางการแพทย์เชื่อว่ามีหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น

  • การใช้งานข้อมือซ้ำๆ เช่น พิมพ์คอมพิวเตอร์ ใช้เมาส์ ยกของหนัก
  • การบาดเจ็บของข้อหรือเส้นเอ็น แม้จะเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อยในอดีตก็ส่งผลได้
  • ภาวะเสื่อมของข้อ เช่น ในผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม
  • พันธุกรรม พบว่าบางครอบครัวมีแนวโน้มเป็นถุงน้ำมากกว่าปกติ

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นถุงน้ำที่ข้อมือ?

  • ผู้หญิง โดยพบมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า
  • ผู้ที่มีอายุระหว่าง 20–40 ปี
  • ผู้ที่ทำงานใช้ข้อมือซ้ำๆ เช่น พนักงานออฟฟิศ ช่างฝีมือ นักกีฬา

3. ถ้ามีก้อนที่ข้อมือ จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นถุงน้ำที่ข้อมือ?

ตอบ: แม้หลายคนจะไม่มีอาการใดๆ ไม่แดง ไม่ร้อน มักไม่มีอาการเจ็บ มีเพียงก้อนนูนใต้ผิวหนัง แต่บางรายอาจมีอาการดังนี้

  • อาการปวดหรือเจ็บเมื่อขยับข้อมือหรือออกแรง โดยเฉพาะหากถุงน้ำอยู่ในตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย
  • หากก้อนถุงน้ำกดทับเส้นประสาท อาจมีอาการชา ปวดร้าว หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย
  • ขนาดของถุงน้ำอาจค่อยๆ โตขึ้น หรือบางครั้งยุบหายได้เอง แต่ก็อาจกลับมาใหม่ได้อีก

หากก้อนโตขึ้นหรือเริ่มเจ็บ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินโดยละเอียด

4. ถุงน้ำที่ข้อมือตรวจด้วยวิธีไหนได้บ้าง?

ตอบ: แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกายเบื้องต้น โดยการ

  • การตรวจร่างกาย แพทย์คลำดูลักษณะก้อน ตำแหน่ง ขนาด และการเคลื่อนไหว
  • การส่องไฟ (Transillumination) ส่องไฟผ่านก้อนดูว่ามีลักษณะโปร่งแสง ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นของเหลว
  • การเจาะดูด (Needle Aspiration) ใช้เข็มดูดของเหลวในถุงน้ำเพื่อตรวจสอบลักษณะและยืนยันการวินิจฉัย
  • อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อแยกแยะว่าก้อนมีลักษณะเป็นของเหลวหรือเป็นก้อนเนื้อ และดูความเกี่ยวข้องกับเส้นเลือดหรือเส้นเอ็น
  • MRI ใช้ในกรณีที่ต้องการดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อเยื่อ เส้นเอ็น หรือความเสียหายอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง

5. ถุงน้ำที่ข้อมือรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง?

ตอบ: การรักษาถุงน้ำที่ข้อมือนั้นมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะของถุงน้ำและความรุนแรงของอาการ ดังนี้

  1. ดูแลแบบไม่ใช้ยา หากถุงน้ำไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ ไม่รบกวนการใช้งานข้อมือ แพทย์อาจแนะนำให้สังเกตอาการและขนาดของถุงน้ำเป็นระยะ เพราะบางรายก้อนจะยุบหายเองได้ในระยะเวลาหนึ่ง อาจประคบเย็นเมื่อต้องการลดอาการอักเสบหรือบวม รวมทั้งหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้ข้อมือหนักหรือซ้ำๆ
  2. ใช้เฝือกหรือผ้ารัดข้อมือ สวมเฝือกหรืออุปกรณ์พยุงข้อมือชั่วคราว เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว ลดการอักเสบของข้อ หรือแรงกดที่ถุงน้ำ อาจทำให้ก้อนค่อยๆ ยุบหายเองได้
  3. การเจาะดูดน้ำ (Aspiration) เป็นการใช้เข็มดูดของเหลวภายในถุงน้ำออก แพทย์อาจฉีดยาสเตียรอยด์ร่วมด้วยเพื่อลดการอักเสบ และอาจใส่เฝือกหลังทำ เพื่อลดการเคลื่อนไหวและลดโอกาสการเกิดซ้ำ อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้มีโอกาสที่ถุงน้ำจะกลับมาใหม่ประมาณ 30-50%
  4. การผ่าตัด (Surgical Removal) การผ่าตัดเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับถุงน้ำที่ใหญ่ เจ็บ หรือกลับมาเป็นซ้ำบ่อยๆ หากเจาะแล้วกลับมาอีก หรือถุงน้ำรบกวนการใช้งานข้อมือมาก แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัด ซึ่งอาจใช้วิธีผ่าตัดแบบเปิดหรือส่องกล้อง (Arthroscopic Surgery) โดยแพทย์จะนำทั้งถุงน้ำและรากที่เชื่อมกับข้อมือออกไปด้วย หลังการผ่าตัดใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2–6 สัปดาห์ ข้อดีของการผ่าตัดคือ โอกาสกลับมาเป็นซ้ำต่ำกว่า 15% และสามารถแก้ปัญหาได้ถาวรในหลายกรณี

6. ถุงน้ำที่ข้อมือแตกได้ไหม?

ตอบ: ถุงน้ำที่ข้อมือสามารถแตกได้ โดยอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น จากแรงกด แรงกระแทกโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ของแข็งกดหรือตีที่บริเวณถุงน้ำ เพราะอาจทำให้เยื่อหุ้มข้อเสียหาย หรือเกิดการอักเสบแทรกซ้อนได้

ผลที่อาจตามมาเมื่อถุงน้ำแตก

  • ของเหลวภายในจะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆ
  • อาการบวมอาจลดลงชั่วคราว
  • เมื่อถุงน้ำแตก แต่ไม่มีการรักษารากของถุงน้ำ (Stalk) ที่เชื่อมกับข้อมือ ทำให้มีโอกาสกลับมาใหม่ได้สูง
  • ในบางรายอาจเกิดการอักเสบ ระคายเคือง หรือเจ็บมากกว่าเดิม

7. ถุงน้ำที่ข้อมืออันตรายไหม?

ตอบ: โดยทั่วไป ถุงน้ำที่ข้อมือไม่ใช่ก้อนมะเร็ง ไม่กลายพันธุ์ ไม่ลุกลาม และมักไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่หากมีอาการปวด บวม ชา หรือขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด

การรักษาไม่จำเป็นในทุกกรณี ขึ้นอยู่กับอาการและผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต หากไม่มีอาการเจ็บหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็สามารถสังเกตอาการไปก่อน

8. ถุงน้ำที่ข้อมือสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่?

ตอบ: ถุงน้ำที่ข้อมือสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ แม้จะรักษาโดยการเจาะหรือผ่าตัดแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในผู้ที่ยังคงใช้งานข้อมือหนักๆ หรือทำกิจกรรมซ้ำๆ

การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อมือมากเกินไป
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อมือให้แข็งแรง
  • ปรึกษานักกายภาพบำบัด เพื่อเรียนรู้ท่าบริหารที่เหมาะสม

แม้ถุงน้ำที่ข้อมือจะเป็นภาวะที่ไม่อันตรายถึงชีวิต และอาจหายได้เองในบางราย แต่หากปล่อยไว้ หรือรักษาแบบผิดวิธี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและการทำงานได้ หากคุณพบก้อนนูนที่ข้อมือ และเริ่มมีอาการข้างเคียง ไม่ควรละเลย ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย และรับคำแนะนำในการดูแลหรือรักษาอย่างถูกต้อง

ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมใช่ไหม? ไม่รู้จะปรึกษาใครดี ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจรักษาถุงน้ำที่ข้อมือ จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top