รู้จักการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แปลงน้องชายให้เป็นน้องสาว ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Graft)

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง (MTF sex reassignment surgery) แปลงน้องชายให้เป็นน้องสาว มักเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการแปลงเพศชายเป็นหญิง หลังจากที่ผ่านการผ่าตัดอวัยวะแสดงเพศอื่นๆ เช่น ผ่าตัดเปลี่ยนเสียง กรอลูกกระเดือก หรือผ่าตัดเสริมหน้าอก เรียบร้อยแล้ว เพื่อการเป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์

ในการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แปลงน้องชายให้เป็นน้องสาวนั้น แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ

  • การสร้างอวัยวะเพศภายนอกให้เหมือนผู้หญิง เป็นขั้นตอนทั่วไป โดยแพทย์จะศัลยกรรมเปลี่ยนรูปร่างและโครงสร้างของอวัยวะเพศชายให้กลายเป็นอวัยวะเพศหญิง ประกอบด้วย แคมนอก (Major labia) แคมใน (Minor labia) ท่อปัสสาวะ และคลิตอริส (Clitoris)
  • การสร้างช่องคลอดใหม่ มีหลายเทคนิคในการสร้างช่องคลอดเทียม แต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน จึงทำให้การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงในแต่ละคนแตกต่างกันตามไปด้วย

สารบัญ

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ คืออะไร?

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ คือการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง โดยใช้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ประมาณ 7-8 นิ้ว มาทำเป็นผนังช่องคลอดแทนการใช้ผิวหนังองคชาตเดิม

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการช่องคลอดที่ลึกกว่าปกติ เพราะสามารถสร้างผนังช่องคลอดได้ยาว 7-8 นิ้ว

นอกจากนี้การใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังช่องคลอดยังมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าการใช้ผิวหนังองคชาตเดิม เพราะลำไส้ใหญ่เป็นเนื้อเยื่อชนิดที่มีเยื่อเมือกธรรมชาติ จึงทำให้ผนังช่องคลอดเทียมมีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติตามไปด้วย

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ เหมาะกับใคร?

  • สามารถทำได้ทั้งในผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงครั้งแรก และผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แต่มีปัญหาช่องคลอดตีบตัน ไม่สามารถร่วมเพศได้
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังองคชาตเดิมน้อย มีขนาดสั้นกว่า 4 นิ้ว หรือเคยได้รับการขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายมาก่อน เพราะไม่มีผิวหนังเพียงพอในการทำผนังช่องคลอด
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการช่องคลอดลึก และความเป็นธรรมชาติเหมือนผู้หญิงมากที่สุด

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ ไม่เหมาะกับใคร?

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักมาก หรือมีหน้าท้องหนา หรือมีค่า BMI เกิน 28.5
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคในกลุ่มลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ หรือมีกระเปาะที่ลำไส้

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงด้วยเทคนิคต่อลำไส้

แม้ว่า การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ จะทำให้ผนังช่องคลอดมีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ และมีโอกาสเกิดการตีบตันน้อยกว่าการแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคการใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ (วิธีมาตรฐาน)

แต่ปากช่องคลอดก็ยังคงมีโอกาสตีบแคบจากการหดตัวของแผลได้อยู่ดี เพราะปากช่องคลอดสร้างจากผิวหนังองคชาตเดิม

ดังนั้นผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ จะต้องขยายช่องคลอดด้วยแท่งขยายช่องคลอด หรือที่นิยมเรียกกันว่า “แยงโม” ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และหมั่นสังเกตการระบายของเมือก เพื่อป้องกันเกิดการช่องคลอดอุดตัน

นอกจากนี้ผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ ยังต้องตรวจติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะการผ่าตัดเข้าไปในช่องท้อง อาจทำให้เกิดพังผืด (Adhesion band) ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้องในอนาคตได้

และถ้าหากต้องตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีการส่องกล้อง จะต้องส่องกล้องตรวจภายในช่องคลอดด้วย

ความเสี่ยง หรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ มีอะไรบ้าง?

  • ความเสี่ยงทั่วไปที่พบได้จากการผ่าตัด เช่น แพ้ยาชา แพ้ยาสลบ มีเลือดคั่ง เลือดออก ติดเชื้อ แผลบวม รอยช้ำ เลือดออก หรือปวดแผล
  • ปากช่องคลอดตีบตัน เกิดจากการไม่ขยายช่องคลอดด้วยแท่งขยายช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ
  • ท่อปัสสาวะตีบตัน ในเบื้องต้นแพทย์จะระบายน้ำปัสสาวะออก โดยการใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อให้น้ำปัสสาวะออก แล้วคาสายสวนไว้ หรือใส่เครื่องมือขยายท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นถึงจะหาสาเหตุของการอุดกั้น และให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
  • แคมใหญ่ หรือแคมเล็ก มีขนาดไม่เท่ากัน สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดตกแตกแคมหลังผ่าตัดแปลงเพศ
  • ไม่พอใจในขนาดและรูปทรงของช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และคลิตอริส สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดแปลงเพศใหม่
  • มีแผลเป็น หรือคีลอยด์ ที่บริเวณหน้าท้อง ในกรณีที่ผ่าตัดนำลำไส้ใหญ่ส่วนปลายออกมาด้วยเทคนิคเปิดหน้าท้อง
  • ความรู้สึกทางเพศลดลง
  • เกิดการอักเสบภายในช่องท้อง หรือเกิดการรั่วของรอยต่อลำไส้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องท้องรุนแรงตามมาได้

ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ เป็นอย่างไร?

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ เป็นการผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบ ใช้ระยะเวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ดังนี้

1.ผ่าตัดนำลำไส้ใหญ่ออกมา

แพทย์จะผ่าตัดนำลำไส้ใหญ่ส่วนปลายออกมา ยาวประมาณ 7-8 นิ้ว โดยแบ่งเป็น 2 เทคนิคหลักๆ ได้แก่

  • แบบเปิดแผลหน้าท้อง (Open Technique) จะมีแผลเป็นตามขอบบิกินี่ บริเวณด้านซ้าย ความยาวของแผลเป็นประมาณ 7 เซนติเมตร
  • แบบใช้กล้อง (Laparoscopic Technique) เป็นเทคนิคใหม่ ไม่มีแผลเป็น แต่จำเป็นต้องใช้แพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางสูง และบางสถานพยาบาลอาจไม่มีการบริการด้วยเทคนิคนี้

2.ผ่าตัดตกแต่งอวัยวะภายนอกให้เหมือนผู้หญิง

แพทย์จะศัลยกรรมเปลี่ยนรูปร่างและโครงสร้างของอวัยวะเพศชายให้กลายเป็นอวัยวะเพศหญิง โดยแต่ละส่วนจะถูกนำไปสร้างเป็นส่วนประกอบของอวัยวะเพศหญิงที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ปลายหัวขององคชาต จะถูกนำไปทำปุ่มรับความรู้สึก หรือที่เรียกว่า “คลิตอริส” ทำให้ยังคงมีความรู้สึกทางเพศเหมือนเดิม
  • หนังหุ้มปลายองคชาต จะถูกนำไปทำแคมใน ทั้งนี้ในผู้ที่เคยขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย จะทำให้แคมในสั้นลง และมีสีไม่เหมือนธรรมชาติ
  • ผิวหนังโคนองคชาตและผิวหนังถุงอัณฑะ จะถูกนำไปทำแคมนอก
  • หัวองคชาตและหนังท่อปัสสาวะ จะถูกนำไปทำท่อปัสสาวะและเนื้อเยื่อรอบๆ โดย​​แพทย์จะตัดท่อปัสสาวะให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้สามารถปัสสาวะพุ่งลงเหมือนผู้หญิง

3.การสร้างช่องคลอดเทียม โดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังช่องคลอด

  • สร้างช่องคลอดเทียม โดยการกรีดผิวหนังระหว่างถุงอัณฑะและรูทวารหนัก แล้วเลาะโพรงเข้าไปจนใกล้กับเยื่อบุช่องท้อง
  • ความลึกและความกว้างของช่องคลอดเทียมจะแตกต่างกันไปตามสรีระของแต่ละคน โดยทั่วไปในคนเอเชียสามารถสร้างช่องคลอดได้ลึกประมาณ 5-6 นิ้ว
  • แพทย์จะนำลำไส้ใหญ่ที่ตัดออกมาทำเป็นผนังช่องคลอด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ เป็นอย่างไร?

การเตรียมก่อนเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือการเตรียมตัวเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศได้ และการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อให้กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงเป็นไปอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น มีรายละเอียดดังนี้

1.หลักเกณฑ์ของผู้ที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง

  • มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในกรณีที่มีอายุ 18-20 ปี จะต้องให้ผู้ปกครองเซ็นเอกสารยินยอมเข้ารับการผ่าตัด
  • ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นคนข้ามเพศ (Gender Dysphoria) และมีใบรับรองจากจิตแพทย์จำนวน 2 ใบ โดยใบรับรองจะต้องมีอายุไม่เกิน 6 เดือน ก่อนวันผ่าตัด
  • ในกรณีที่การผ่าตัดแปลงเพศครั้งที่ 2 เพื่อแก้ไขปัญหาช่องคลอดตีบตัน ไม่ต้องใช้ใบรับรองจากจิตแพทย์
  • ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอันตรายต่อการผ่าตัด หรือเป็นข้อห้ามในการดมยาสลบ
  • ได้รับฮอร์โมนเพศหญิง หรือที่เรียกว่า “เทคฮอร์โมน” ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี
  • ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง 24 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี

2.การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง

  • ตรวจสุขภาพ ตรวจเลือด และเอ็กซเรย์ อย่างละเอียด หากพบว่า มีความผิดปกติ หรือมีโรคประจำตัว แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะส่งปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินความเสี่ยงร่วมด้วย
  • หยุดยาฮอร์โมนข้ามเพศทุกชนิดก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระหว่างการผ่าตัด (Deep venous thrombosis: DTV)
  • ผู้ที่มีประวัติโรคเลือด อาจเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนผ่าตัด โดยแพทย์จะป้องกันด้วยการใส่เครื่องมือไล่เลือดที่ขาตลอดเวลาหลังการผ่าตัด อย่างน้อย 2-3 วัน
  • หยุดรับประทานยา หรือสมุนไพร ที่ทำให้เลือดออกง่าย อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เช่น แอสไพริน (Aspirin) โคลพิโดเกรล (Clopidogrel) วิตามินอี น้ำมันตับปลา คอลลาเจน โสม หรือกระเทียม
  • งดสูบบุหรี่ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบนิโคติน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า หมากฝรั่งนิโคติน หรือแผ่นแปะสำหรับเลิกบุหรี่ ก่อนการผ่าตัด อย่างน้อย 2 เดือน
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • ควรรับประทานอาหารที่มีกากน้อย เพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาด 1 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
  • ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อผ่าตัดเอาส่วนของสำไส้ใหญ่ออกมา โดยจะต้องสวนล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาดก่อนผ่าตัด 1 วัน
  • รักษาสุขอนามัยอวัยวะเพศให้สะอาดอยู่เสมอ

การดูแลหลังผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ เป็นอย่างไร?

  • ในช่วง 7 วันแรกหลังการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ จะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล โดยจะมีทีมแพทย์และพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
  • ผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ จะต้องงดน้ำและอาหารจนกว่าจะผายลมออก จึงจะค่อยเริ่มจิบน้ำ และรับประทานอาหารเหลวได้ เพื่อป้องกันการเกิดอาการท้องอืดและอาหารไม่ยอย
  • ในช่วง 1-2 วันแรกหลังการผ่าตัด จะต้องนอนอยู่ในท่านอนหงาย ยกสะโพกให้สูง และแยกขาทั้ง 2 ออกจากกันเล็กน้อย เพื่อลดอาการบวม
  • วันที่ 3 หลังการผ่าตัด สามารถนอนตะแคงได้
  • วันที่ 4 หลังการผ่าตัด แพทย์จะถอดสายระบายเลือดเสียออก และเปิดแผลทำความสะอาดแผล
  • วันที่ 6 หลังการผ่าตัด แพทย์จะเปิดแผลทำความสะอาดแผล และเอาผ้าก๊อซที่อยู่ในช่องคลอดออก
  • วันที่ 7 หลังการผ่าตัด แพทย์จะถอดสายสวนปัสสาวะออก และอนุญาตให้กลับบ้านได้
  • แพทย์จะนัดหมายให้กลับมาตัดไหม และตรวจติดตามอาการทุกๆ 1 สัปดาห์ จนกว่าจะครบ 1 เดือน (ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล)
  • ผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศ จะต้องทำความสะอาดแผลพร้อมกับขยายช่องคลอด ทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที จนกว่าแผลภายนอกและในช่องคลอดจะหายสนิทดี
  • ในช่วง 2-3 เดือนแรกหลังผ่าตัด จะมีน้ำเมือกไหลออกมาตลอดเวลา จึงควรใส่ผ้าอนามัยเพื่อป้องกันการเปรอะเปื้อน โดยเมื่อระยะเวลาผ่านไป น้ำเมือกจะค่อยๆ ไหลออกมาน้อยลงมาก จนไม่จำเป็นต้องใส่ผ้าอนามัยก็ได้
  • ห้ามนั่งยอง หรือแยกขาก่อนที่แผลผ่าตัดจะหายสนิท เนื่องจากจะทำให้แผลปริแยกได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำสบู่สวนล้างช่องคลอด เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  • งดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน
  • ปากช่องคลอดมักจะแห้ง แนะนำให้ใช้สารหล่อลื่นทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลถลอกจากการเสียดสี
  • ในช่วง 1 ปีแรกจะต้องขยายช่องคลอดทุกวัน วันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 30-60 นาที โดยค่อยๆ เพิ่มขนาดตามที่แพทย์สั่ง เมื่อครบ 1 ปีแล้ว สามารถขยายช่องคลอดสัปดาห์ละ 1 ครั้งได้ โดยใช้แท่งขยายช่องคลอดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
  • หลังขยายช่องคลอดเสร็จ ควรสวนล้างช่องคลอดทุกครั้ง โดยใช้ยาโพวิโดนไอโอดีนชนิดน้ำผสมกับน้ำเกลือ ในอัตราส่วน 1:10 (เช่น ผสมน้ำ 100 ซีซี เข้ากับยา 10 ซีซี) แนะนำปริมาณครั้งละ 100-200 ซีซี
  • หลังขับถ่าย และขยายช่องคลอด ควรทำความสะอาดบาดแผลร่วมกับทายาทุกครั้ง และสวมใส่ผ้าอนามัยเพื่อซึมซับคราบเลือด โดยทั่วไปแผลผ่าตัดจะหายภายใน 2-3 สัปดาห์หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ ราคาเท่าไหร่?

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ ราคา 180,000-500,000 บาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละสถานพยาบาล โดยส่วนใหญ่ มักรวมค่าแพทย์ ค่าห้องพัก และการดูแลหลังการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง จะเลือกเทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียมแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความต้องการของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด ขนาดของอวัยวะเพศเดิม งบประมาณ และการประเมินของแพทย์ จึงไม่สามารถตอบได้ว่าวิธีไหนเหมาะกับใครที่สุด

ดังนั้นผู้ที่ต้องการแปลงเพศชายเป็นหญิงจึงควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เพื่อวางแผนการรักษา และเลือกเทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียมที่เหมาะสมกับตนเอง


เปรียบเทียบแพ็กเกจและราคาแปลงเพศชายเป็นหญิง

Scroll to Top