ตกขาวเป็นของเหลวที่ช่วยสร้างความหล่อลื่นให้กับช่องคลอด และปากมดลูก ผู้หญิงทุกคนมีตกขาวเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ ลักษณะทั่วไปของตกขาวจะเป็นมูกเหลวสีใสปนขาว ไม่มีกลิ่น มีปริมาณเล็กน้อยต่อวัน และไม่ได้สร้างความระคายเคืองใดๆ ต่อผิวช่องคลอด
ตกขาวจะมีลักษณะผิดปกติไปจากเดิมเมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีอาการเจ็บป่วยบางอย่างจนส่งผลต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เช่น ตกขาวสีเขียว ตกขาวสีเหลือง ตกขาวสีเทาขุ่น ตกขาวสีแดง หรือมีเลือดปน
สารบัญ
นิยามของตกขาวปนเลือด
ตกขาวปนเลือด (Bloody discharge) คือ ตกขาวที่มีก้อนเลือด หรือมูกเลือดปนอยู่ในมูกใสด้วย สาเหตุที่ทำให้เกิดตกขาวปนเลือดได้ มีดังต่อไปนี้
1. การมีประจำเดือน
ผุ้หญิงอาจมีตกขาวปนเลือดในช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้ตามธรรมชาติของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
ตกขาวปนเลือดก่อนมีประจำเดือนนั้นเกิดขึ้นได้จากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) มีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างไข่ตก ซึ่งในช่วงนี้ ผู้หญิงหลายคนจะมีปริมาณตกขาวมากกว่าปกติด้วย
ส่วนตกขาวปนเลือดหลังมีประจำเดือนนั้น เกิดได้จากเลือดประจำเดือนที่ยังคั่งค้างอยู่ในปากมดลูก และถูกร่างกายขับออกมาพร้อมกับตกขาว บางครั้งอาจอยู่ในรูปของตกขาวสีแดง หรือสีน้ำตาลเข้มซึ่งเกิดจากเลือดที่แห้งกรังอยู่ในปากมดลูกนั่นเอง
อีกทั้งในเดือนแรกของการรับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งเป็นยาที่ส่งผลต่อการหลั่งของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ก็สามารถส่งผลทำให้มีตกขาวปนเลือดได้เช่นกัน โดยตกขาวปนเลือดจากสาเหตุนี้อาจออกมาในระหว่างมีประจำเดือน
2. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
เด็กหญิงวัยรุ่นที่กำลังมีประจำเดือนครั้งแรกและผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือนอาจเผชิญกับตกขาวปนเลือด เพราะเป็นสองช่วงวัยที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงสูง
ผู้หญิงสองช่วงวัยนี้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์อาจมีตกขาวปนเลือดมากกว่าปกติ เพราะน้ำหนักและไขมันในร่างกายสามารถมีส่วนทำให้ฮอร์โมนทำงานผิดปกติได้ วิธีแก้มีทางเดียวคือ ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
นอกจากนี้ผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนไปแล้วมากกว่า 1 ปี แต่ยังมีตกขาวปนเลือดอยู่ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับการวินิจฉัย เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งรังไข่ หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดปกติได้
3. การตั้งครรภ์
สัญญาณของการตั้งครรภ์สามารถสังเกตได้จากเลือดที่ไหลออกมาจากช่องคลอด หรือปนกับตกขาว
เมื่อไข่กับเชื้ออสุจิได้ปฏิสนธิกันแล้ว ไข่จะย้ายไปฝังตัวอยู่ที่ผนังมดลูก ในช่วง 1-2 สัปดาห์ต่อมา ผู้หญิงบางรายอาจสังเกตเห็นว่า มีเลือดปนออกมากับตกขาวด้วย หรือมีตกขาวเป็นสีแดงในปริมาณเล็กน้อย เราสามารถเรียกตกขาวปนเลือดในช่วงนี้ได้ว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก”
นอกจากนี้ตกขาวปนเลือดยังแสดงถึงภาวะอันตรายในระหว่างตั้งครรภ์ได้ โดยหญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรก หากมีอาการเลือดออกจากช่องคลอด หรือมีตกขาวปนเลือด ควรรีบไปแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของ
- ภาวะแท้ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ใน 13 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy)
- การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด (Preterm labor)
- ปากมดลูกมีความผิดปกติ
- รกในครรภ์เกิดความผิดปกติ
หญิงตั้งครรภ์ที่เพิ่งคลอดบุตรอาจมีตกขาวปนเลือดที่เกิดจากน้ำคาวปลา (Lochia) ซึ่งเป็นเลือด และของเหลวตกค้างจากการคลอดบุตร เช่น เยื่อบุโพรงมดลูก น้ำคร่ำที่ยังค้างอยู่ข้างในมดลูก
ในช่วง 3 วันแรกหลังจากคลอด น้ำคาวปลาจะมีสีแดงเหมือนเลือด ก่อนที่จะค่อยๆ จางเป็นสีใสลงหลังจากนั้น โดยปกติจะมีระยะเวลาประมาณ 4-8 สัปดาห์หลังคลอด แล้วปริมาณน้ำคาวปลาก็จะค่อยๆ ลดลง
4. โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ (Thyroid Disease)
ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) เป็นอวัยวะซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระบบหลายส่วนของร่างกาย รวมไปถึงระบบสืบพันธุ์ด้วย ซึ่งหากต่อมไทรอยด์เกิดความผิดปกติ ก็สามารถส่งผลให้ร่างกายมีอาการแสดงออกมาได้หลายอย่าง เช่น
- หน้าบวม
- อ่อนเพลีย
- ผิวแห้ง
- น้ำหนักขึ้น
- คอเลสเตอรอลสูงขึ้น
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- มีตกขาวปนเลือด
การรักษาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์จะรักษาผ่านการรับประทานยา หรือการผ่าตัดเอาต่อมไทรอยด์ออก วิธีรักษาจะขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ความร้ายแรงของอาการ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน
5. การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสาเหตุทำให้เกิดตกขาวปนเลือด หรือเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดได้ ไม่ว่าจะเป็น
- โรคหนองในแท้ (Gonorrhea)
- โรคหนองในเทียม (Chlamydia)
- ภาวะช่องคลอดอักเสบ (Bacteria Vaginosis)
- ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease: PID)
นอกจากอาการตกขาวปนเลือด หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดแล้ว ตกขาวยังอาจมีกลิ่นเหม็นคาว และอาจมีอาการปวดท้องน้อย เจ็บแสบช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์และขณะปัสสาวะ รวมทั้งระคายเคืองช่องคลอด
โรคเหล่านี้จะต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาทันทีและต้องพาคู่นอนไปรับการรักษาด้วย เนื่องจากอาการตกขาวปนเลือดจะมีปริมาณมากขึ้น มีกลิ่นเหม็นคาวมากขึ้นไปอีก หากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคเหล่านี้มีการเจริญเติบโต และเพิ่มปริมาณขึ้น
6. ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)
ภาวะนี้เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อจนทำให้เกิดถุงน้ำ หรือเรียกอีกชื่อว่า “ซีสต์” ในรังไข่หลายใบ และส่งผลทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น เช่น
- ผมและขนตามร่างกายดกขึ้นกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการหลั่งฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในปริมาณมาก
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือมาน้อย หรือไม่มาตามกำหนดอย่างผิดสังเกต
- มีตกขาวปนเลือด
วิธีรักษาภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบจะขึ้นอยู่กับระดับอาการของผู้ป่วย รวมถึงสังเกตว่า ผู้ป่วยมีอาการอะไรบ้าง เช่น
- หากมีภาวะขนดก แพทย์จะให้รักษาโดยให้รับประทานยาคุมกำเนิดฮอร์โมนรวม หรือลดน้ำหนัก เพื่อลดระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) รวมถึงให้กำจัดขนด้วยเลเซอร์ หรือด้วยการโกน หรือถอน
- หากมีอาการประจำเดือนมาผิดปกติ แพทย์อาจรักษาโดยการจ่ายยาเพิ่ม หรือลดฮอร์โมนแอนโดรเจน หรือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
อาการตกขาวปนเลือดที่ควรไปพบแพทย์
หากมีอาการตกขาวปนเลือดร่วมกับมีอาการดังต่อไปนี้
- น้ำหนักลด
- ปวดเจ็บท้องน้อย
- มีเลือดออกจากช่องคลอดมากกว่าปกติ
- ตกขาวมีกลิ่นคาวเหม็น
- แสบผิวช่องคลอด หรือคันระคายเคืองช่องคลอด
ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับการวินิจฉัย เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายบางได้
แม้ว่าอาการตกขาวปนเลือดมีปัจจัยทำให้เกิดทั้งที่เป็นอันตราย และไม่เป็นอันตราย แต่หากคุณไม่เคยมีตกขาวปนเลือดมาก่อน และสังเกตว่า ตกขาวมีสีน้ำตาล หรือสีแดงอย่างที่ไม่เคยเป็น หรือมีตกขาวปนเลือดผิดปกติไปจากเดิม
กรณีเช่นนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และเพื่อจะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป