การพัฒนาของทารกในครรภ์

การพัฒนาของทารกในครรภ์

เมื่อตั้งครรภ์ คุณแม่ทุกคนคงจะอยากรู้ถึงการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกน้อยในท้องว่าเป็นอย่างไรบ้าง การดูภาพอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ในแต่ละครั้งจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทุกครั้ง

แม้ว่าระยะแรก ๆ จะได้เห็นแค่จุดเงาเล็ก ๆ ที่แทบดูไม่ออกว่าคืออะไร แต่ในครั้งต่อ ๆ มา จากจุดเงาเล็ก ๆ ก็จะเริ่มเห็นรูปร่างและอวัยวะอื่น ๆ ของเจ้าตัวน้อยชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ 

ด้านล่างนี้คือ ตัวอย่างภาพแสดงพัฒนาการของทารกในครรภ์

content %E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B9%8C

บทความนี้จะพามาดูพัฒนาการในแต่ละเดือนของทารกตัวน้อยในครรภ์กัน

พัฒนาการในแต่ละเดือนของทารก

การปฏิสนธิจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อสเปิร์มผสมกับไข่ ในระยะนี้ จะมีการกำหนดเพศของตัวอ่อนเรียบร้อยแล้ว

ถ้าในสเปิร์มมีโครโมโซม X จะได้ตัวอ่อนเพศหญิง และถ้าในสเปิร์มมีโครโมโซม Y ก็จะได้ตัวอ่อนเพศชาย 

หลังจากนั้น ไข่จะแบ่งเซลล์ แล้วเคลื่อนไปฝังตัวที่ผนังมดลูก จากนั้นจึงค่อย ๆ พัฒนาระบบประสาทและอวัยวะอื่น ๆ ขึ้นจนกลายเป็นทารกที่สมบูรณ์ 

ปกติแล้ว การตั้งครรภ์จะใช้เวลาประมาณ 9 เดือน มีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ 

เดือนที่ 1 

ทารกยังเป็นแค่ตัวอ่อน ยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร และเริ่มมีของเหลวปกคลุมโดยรอบทีละนิด ๆ เรียกว่า “ถุงน้ำคร่ำ” โดยจะเริ่มมีการพัฒนาโครงสร้างของร่างกาย ดังนี้ 

  • เริ่มมีโครงสร้างทรงกลมสีดำของลูกตา
  • ในส่วนของปาก จะเริ่มมีโครงสร้างกรามล่างและลำคอ
  • เซลล์เม็ดเลือดเริ่มจับกลุ่มเป็นรูปร่าง และระบบไหลเวียนเลือดเริ่มทำงาน
  • หัวใจเริ่มมีอัตราการเต้นอยู่ที่ 65 ครั้งต่อนาที จนกระทั่งถึงช่วงสัปดาห์ที่ 4 ของการตั้งครรภ์
  • ส่วนลำตัวยังมีลักษณะคล้ายหางลูกอ๊อด และเตรียมพัฒนาเป็นกระดูกสันหลัง
  • มีการพัฒนาอวัยวะสำคัญอื่น ๆ เช่น เส้นเลือด ปอด กระเพาะ ตับ 

ช่วงนี้เป็นระยะที่คุณแม่สามารถใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองได้ ถ้าผลทดสอบออกมาว่า “กำลังตั้งครรภ์” แนะนำให้รีบไปตรวจกับแพทย์อีกรอบ เพื่อยืนยันผลตรวจให้แน่ใจ

ถ้าการยืนยันผลการตั้งครรภ์ออกมาตรงกัน ขั้นตอนต่อไปคือการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อให้ครรภ์อยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลตั้งแต่เนิ่น ๆ จนกระทั่งถึงกำหนดคลอด 

เดือนที่ 2

ทารกจะมีขนาดเท่าผลเชอร์รี เริ่มมีโครงสร้างของใบหน้าที่ชัดเจนขึ้น หากอัลตราซาวด์ ก็จะเริ่มเห็นสันจมูกเล็ก ๆ ศีรษะเริ่มใหญ่กว่าขนาดร่างกาย 

นอกจากนี้ หูทั้ง 2 ข้างจะมีรอยพับชัดขึ้น แขน ขา นิ้วมือ และนิ้วเท้าเริ่มยื่นออกมา พร้อมมีการพัฒนาของอวัยวะภายใน ดังนี้ 

  • อวัยวะเกี่ยวกับระบบประสาทเริ่มเจริญเติบโตเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เช่น สมอง กระดูกไขสันหลัง 
  • ทางเดินอาหารและอวัยวะรับความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง เริ่มมีพัฒนาการมากขึ้น
  • กระดูกเริ่มเข้าไปแทนที่โครงสร้างกระดูกอ่อน 

หลังจากการตั้งครรภ์ใกล้เข้าสู่เดือนที่ 3 ทารกจะมีขนาดตัวยาวประมาณ 1–2 เซนติเมตร และหลังจากสัปดาห์ที่ 8 ของการตั้งครรภ์ ลูกน้อยของคุณแม่จะเปลี่ยนจาก “ตัวอ่อน” เป็น “ทารกในครรภ์” แทนแล้ว  

เดือนที่ 3

ในเดือนที่ 3 รูปร่างของทารกจะพัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว และจะมีขนาดตัวอยู่ที่ประมาณ 5 เซนติเมตร 

อีกทั้งทารกจะเริ่มมีการเคลื่อนไหว ซึ่งคุณแม่อาจเริ่มรู้สึกได้ตรงส่วนบนของมดลูก และเหนือกระดูกหัวเหน่า เมื่อใช้เครื่องมือฟังเสียงทารกในครรภ์ คุณแม่จะเริ่มจับเสียงหัวใจลูกเต้นได้

พัฒนาการการเจริญเติบโตของทารกในช่วงที่ 3 แจกแจงได้ ดังนี้ 

  • รูปร่างของแขน เท้า มือ นิ้วมือ และนิ้วเท้า เจริญเติบโตโดยสมบูรณ์
  • นิ้วมือ นิ้วเท้า เริ่มมีพัฒนาการ หรือขยับได้มากขึ้น
  • หูชั้นนอกเริ่มมีรูปร่าง 
  • ฟันของทารกจะเริ่มพัฒนาในช่วงเดือนนี้
  • ระบบสืบพันธุ์และอวัยวะเพศของทารกจะเริ่มมีการพัฒนา แต่เพศของทารกยังแยกแยะได้ยาก แม้จะอัลตราซาวด์  

เมื่อเริ่มเข้าสู่เดือนที่ 4 ระบบไหลเวียนเลือดและระบบขับถ่ายของทารกจะเริ่มทำงาน ตับจะเริ่มผลิตน้ำดีออกมา 

โดยปกติแล้ว ถ้าพัฒนาการของทารกในระยะการตั้งครรภ์เดือนที่ 3 ไม่มีความผิดปกติใด ๆ โอกาสในการแท้งบุตรจะเกิดขึ้นต่ำ

เดือนที่ 4

คุณแม่จะได้ยินเสียงหัวใจของลูกน้อยชัดเจนขึ้น โดยฟังผ่านเครื่องดอพเพลอร์ อัลตราซาวด์ (Doppler ultrasound) ส่วนการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการทางด้านร่างกายจะมีดังนี้

  • เปลือกตา ขนตา คิ้ว เล็บ และผมเริ่มเป็นรูปร่าง
  • มวลกระดูกและฟันหนาแน่นมากขึ้น
  • ทารกจะเริ่มอมหัวแม่มือ หาว ยืดตัว และแสดงสีหน้าได้แล้ว
  • ทารกมีลายนิ้วมือและนิ้วเท้า
  • ระบบประสาทของเด็กเริ่มทำงาน รวมถึงระบบสืบพันธุ์และอวัยวะเพศด้วย
  • ระบบหัวใจและหลอดเลือดพัฒนาอย่างสมบูรณ์

ในเดือนที่ 4 เป็นเดือนที่จะเริ่มอัลตราซาวด์เพื่อดูเพศของลูกน้อยได้แล้ว 

ในช่วงก่อนเข้าอายุครรภ์เดือนที่ 5 ขนาดตัวของทารกก็จะใหญ่ขึ้น อยู่ที่ประมาณ 11–12 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม 

เดือนที่ 5

ในระยะนี้ คุณแม่บางคนอาจเริ่มรู้สึกได้เวลาที่ลูกน้อยดิ้น ขยับกล้ามเนื้อ หรือกำลังเปลี่ยนท่าทาง และขนาดตัวของทารกก็จะขยายขนาดเป็น 15 เซนติเมตร และน้ำหนักประมาณ 280 กรัม

ระดับมดลูกของคุณแม่ในช่วงนี้ควรจะอยู่ที่สะดือ และทารกจะมีพัฒนาการมากขึ้น ดังนี้ 

  • ผมเริ่มขึ้นบนศีรษะ
  • บริเวณขมับ ไหล่ แผ่นหลัง เริ่มมีขนอ่อน (Lanugo) ขึ้น ซึ่งปกติจะหลุดลอกออกไปเมื่อทารกมีอายุประมาณ 1 สัปดาห์
  • มีไขมันสีขาวปกคลุมผิวหนัง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันผิวของทารกเมื่อแรกเกิด เรียกอีกชื่อว่า “ไขทารกแรกเกิด (Vernix Caseosa)” ซึ่งไขมันเหล่านี้จะหลุดออกไปเมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว  
  • ทารกดูดนิ้ว หาว บิดขี้เกียจได้ และเริ่มมีการแสดงออกทางหน้าตา เช่น ยิ้ม

เดือนที่ 6

เป็นเดือนที่แพทย์มักแนะนำให้คุณแม่เริ่มทำอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจว่า ลูกน้อยในครรภ์เจริญเติบโตปกติดีหรือไม่ 

นอกจากนี้ คุณแม่จะได้เห็นการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวของแขนขาทารกจากการอัลตราซาวด์ และยังจะได้เห็นเพศของทารกชัดเจนที่สุดในเดือนนี้

พัฒนาการของทารกในเดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์ มีดังต่อไปนี้

  • ผิวของเด็กจะออกไปทางสีแดง มีริ้วรอยเหี่ยวย่น
  • เริ่มเห็นลายนิ้วมือชัดเจนขึ้น 
  • เปลือกตาเริ่มมีการแบ่งชัด ลืมตาได้
  • ทารกจะเริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเสียงภายนอก อาจเป็นการเคลื่อนไหว หรือหัวใจเต้นเร็วขึ้น และคุณแม่อาจรู้สึกกระตุกได้ถ้าลูกน้อยสะอึก โดยคุณแม่บางคนอาจเจอพัฒนาการนี้ได้ในเดือนที่ 7 ของการตั้งครรภ์ 

นอกจากนี้ ถ้าคุณแม่บางคนจำเป็นต้องคลอดก่อนกำหนดในระยะนี้ ทารกจะมีโอกาสรอดชีวิตสูงหลังจากอยู่ในครรภ์มามากกว่า 23 สัปดาห์ แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วย

เดือนที่ 7

ทารกจะเริ่มสะสมไขมันและยังคงพัฒนาการเจริญเติบโตของร่างกายไปเรื่อย ๆ อีกทั้งประสิทธิภาพในการได้ยินของทารกก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่แล้ว 

ดังนั้น คุณแม่อย่าแปลกใจ ถ้าช่วงนี้ลูกน้อยเริ่มเปลี่ยนท่าหรือดิ้นบ่อยเป็นพิเศษ เพราะลูกเริ่มจะได้ยินเสียงต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกมากขึ้นนั่นเอง 

นอกจากนี้ ทารกยังตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ นอกจากเสียงได้ด้วย เช่น การกระแทก การสัมผัส หรือแสงสว่าง 

ส่วนปริมาณน้ำคร่ำจะเริ่มลดลง และทารกที่คลอดก่อนกำหนดในช่วงนี้จะมีโอกาสรอดชีวิตค่อนข้างสูง 

เดือนที่ 8

เดือนที่ 8 คือโค้งสุดท้ายที่ลูกน้อยจะคลอด ร่างกายของทารกเติบโตเต็มที่จนทำให้คุณแม่ท้องแก่เริ่มขยับร่างกายลำบากขึ้น 

ในช่วงนี้ทารกอาจมีน้ำหนักมากถึงประมาณ 1,200 กรัมเลยทีเดียว และมักจะดิ้น เตะ เปลี่ยนท่า หรือชอบโต้ตอบกับสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ด้วย 

นอกจากการเคลื่อนไหวแล้ว อายุครรภ์ในระยะของนี้ ทารกจะฟังเสียงและมองเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น ระบบการทำงานของอวัยวะภายในจะมีประสิทธิภาพพร้อมทำงานเต็มที่ แต่ในส่วนของปอด  อาจจะยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่นัก

สำหรับเดือนที่ 8 คู่รักและคุณแม่มือใหม่ควรเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ตั้งแต่โรงพยาบาลที่จะไปทำคลอด พื้นที่ในบ้านสำหรับทารก และอุปกรณ์ดูแลเด็กแรกเกิด เพราะในระยะนี้อาจมีการคลอดก่อนกำหนดเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวได้  

เดือนที่ 9

เป็นเดือนสุดท้ายก่อนที่ทารกจะคลอดแล้ว สำหรับพัฒนาการสุดท้ายก่อนคลอดนั้น ปอดของทารกจะเจริญเติบโตใกล้สมบูรณ์เต็มที่ และลูกน้อยจะยังคงตอบโต้กับทุกสิ่งกระตุ้นที่ตัวเองสัมผัสได้

ทารกยังสามารถหันหน้า กะพริบตา จับ หรือกำมือได้แล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าทารกในครรภ์พร้อมออกมาพบคุณแม่แล้ว 

นอกจากนี้ ตำแหน่งและการเคลื่อนตัวของเด็กทารกในช่วงใกล้คลอดนี้ จะเปลี่ยนไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการทำคลอดมากขึ้น โดยเด็กจะขยับตัวต่ำลงไปที่กระดูกเชิงกราน และมักจะเอาส่วนศีรษะอยู่ด้านล่าง ให้ตรงกับช่องคลอดของคุณแม่พอดี

จะเห็นได้ว่า ในทุก ๆ เดือน จนกว่าลูกน้อยจะคลอดออกมาลืมตาดูโลก ทุกพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ล้วนมีความสำคัญหมดทั้งสิ้น 

ทั้งนี้ ทุกการเจริญเติบโตและพัฒนาการทุกอย่างจะผ่านไปอย่างราบรื่นและสมบูรณ์ไม่ได้ หากขาดการบำรุงและเอาใจใส่ในร่างกายของตัวคุณแม่ และการสนับสนุนดูแลจากคนรัก 

ดังนั้น มือใหม่ที่กำลังจะมีตัวน้อย ขอให้เตรียมตัวให้พร้อม หาความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์มาศึกษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ทุกช่วงเวลาของการตั้งครรภ์เป็นไปอย่างสวยงาม และให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง

ที่สำคัญที่สุด อย่าละเลยการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อให้ครรภ์ได้อยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลนั่นเอง


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ.วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี

Scroll to Top