กระดูกเชิงกราน เป็นกระดูกขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง แต่มักจะไม่ค่อยมีคนใส่ใจกับมันสักเท่าไรจนกระทั่งเกิดความผิดปกติขึ้นกับร่างกาย
ความผิดปกติกับกระดูกเชิงกรานหากเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมทำให้เกิดความเจ็บป่วยและเป็นอันตรายเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ตามมาได้อีกมากมาย มาทำความรู้จักกับกระดูกเชิงกรานให้มากขึ้น พร้อมกับรู้จักความผิดปกติต่างๆ ของกระดูกเชิงกราน เพื่อที่จะได้ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
สารบัญ
กระดูกเชิงกรานคืออะไร
กระดูกเชิงกราน (Pelvis) ถูกจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงกระดูกรยางค์ในร่างกายของเรา โดยจะตั้งอยู่ในส่วนปลายที่สุดของกระดูกสันหลัง ภายในกระดูกเชิงกรานนั้น ประกอบไปด้วย
- กระดูกปีกสะโพก เป็นกระดูกชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในบรรดากระดูกเชิงกราน แบ่งออกเป็นฝั่งซ้ายและขวา
- กระดูกหัวหน่าว เป็นกระดูกที่อยู่บริเวณด้านหน้า
- กระดูกใต้กระเบนเหน็บ เป็นกระดูกที่อยู่ด้านหลังสุด
กระดูกทั้ง 3 ส่วนนี้จะเชื่อมต่อกันทั้งหมด ในเพศหญิงและเพศชายจะมีกระดูกเชิงกรานที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ในจึงทำให้กระดูกเชิงกราน เป็นกระดูกชิ้นที่สำคัญเป็นอย่างมากในการพิจารณาโครงกระดูกโบราณว่าเจ้าของกระดูกเป็นเพศอะไร ซึ่งจะช่วยให้นำไปสู่การค้นหาเจ้าของกระดูกต่อไปได้
หน้าที่ของกระดูกเชิงกราน
กระดูกเชิงกรานมีหน้าที่สำคัญคือ ปกป้องอวัยวะภายในที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ซึ่งประกอบไปด้วย
- มดลูก
- รังไข่
- ลำไส้ใหญ่ตอนปลาย
- กระเพาะปัสสาวะ
- ท่อปัสสาวะ
- เส้นประสาทและหลอดเลือด
นอกจากนี้กระดูกเชิงกรานยังช่วยให้ร่างกายของเรามีการคงลักษณะได้เป็นอย่างดี และยังช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของขาด้วย
ความผิดปกติของกระดูกเชิงกราน
ถึงแม้ว่ากระดูกเชิงกรานจะมีความแข็งแรงไม่ต่างกับกระดูกส่วนอื่น แต่ด้วยความที่เป็นกระดูกซึ่งทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ถ้าหากเกิดการกระทบกระเทือนขึ้น ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายภายในกระดูกเชิงกรานได้ มาดูกันว่า ถ้าหากกระดูกเชิงกรานผิดปกติ จะนำไปสู่อาการอย่างไรได้บ้าง
1. กระดูกเชิงกรานหัก
ส่วนมากสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้กระดูกเชิงกรานหักคือ ได้รับอุบัติเหตุอย่างรุนแรง เช่น ตกจากที่สูง ถูกทำร้ายร่างกายบริเวณสะโพก อุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ขณะเดียวกัน หากเกิดภาวะกระดูกพรุน การได้รับการกระแทกเพียงเล็กน้อย เช่น หกล้ม ก้นหรือสะโพกกระแทก ก็มีโอกาสที่จะทำให้กระดูกเชิงกรานหักได้ อาการที่พบส่วนมากคือ
- ปวดกระดูกเชิงกรานอย่างรุนแรง จนไม่สามารถขยับร่างกายโดยเฉพาะสะโพกได้
- มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
- เจ็บที่ก้นอย่างรุนแรงเวลานั่งบนเก้าอี้
ในส่วนของการรักษา แพทย์มักจะเลือกใช้วิธีผ่าตัดใส่โลหะเข้าไปยึดกระดูก เพราะเมื่อผ่าตัดเสร็จผู้ป่วยจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที แต่อาจจะต้องติดตามอาการอย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ เพื่อดูว่ามีอาการแทรกซ้อนใดๆ หรือไม่
2. กระดูกเชิงกรานเคลื่อน
ปกติแล้วจะไม่ค่อยพบเห็นการเคลื่อนที่ของกระดูกเชิงกรานสักเท่าไร เพราะเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่มีการเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ แต่ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรง เช่น หกล้มสะโพกกระแทกพื้น อุบัติเหตุทางรถยนต์บางประเภท ก็อาจส่งผลให้กระดูกเชิงกรานเคลื่อนที่ไปจากเดิมได้ โดยเฉพาะกระดูกสะโพกและกระดูกก้นกบ
กระดูกเชิงกรานเคลื่อนนับว่ามีความอันตรายมาก เพราะอาจทำให้กระดูกไปกระทบกระเทือนกับหลอดเลือด เส้นประสาท กล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับช่วงล่างตามมา
3. กระดูกเชิงกรานร้าว
ถึงแม้ว่ากระดูกเชิงกรานร้าว จะเป็นอาการที่ดูมีความปลอดภัยมากกว่ากระดูกเชิงกรานหัก แต่นั่นก็เป็นสัญญาณอันตรายที่ทำให้คุณต้องระมัดระวังมากกว่าเดิม เพราะถ้าหากเกิดอุบัติเหตุซ้ำอีกครั้ง หรือดูแลตนเองไม่ดี ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้กระดูกเชิงกรานหักขึ้นมาจริงๆ
สำหรับผู้ที่กระดูกเชิงกรานร้าว ถ้าหากดูแลตนเองได้เป็นอย่างดี มีความระมัดระวังไม่ให้กระดูกมีการกระทบกระเทือนอีก ก็มีโอกาสที่กระดูกจะกลับมาประสานกันอีกครั้งได้ภายในเวลา 2-3 เดือน แต่ในผู้ป่วยรายที่ร้าวมากๆ อาจจะใช้เวลานานถึง 1 ปีขึ้นไป อาการที่พบได้ส่วนใหญ่ มีตั้งแต่เจ็บปวดอย่างรุนแรง ไม่สามารถขยับบริเวณที่กระดูกร้าวได้ รวมทั้งเกิดอาการบวมช้ำอย่างหนัก ซึ่งก็ควรจะไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด
4. กระดูกเชิงกรานอักเสบ
เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อจากอวัยวะสืบพันธุ์ในเพศหญิง จึงทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นที่บริเวณกระดูก หากเกิดกับผู้ป่วยหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็จะเพิ่มโอกาสมีบุตรยากมากขึ้น สำหรับอาการที่พบได้โดยทั่วไปคือ
- ปวดในช่องท้อง
- ตกขาวมีกลิ่นหรือมีสี
- รู้สึกเจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
- มีเลือดออกทางช่องคลอด
หากพบอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง และจะได้ทำการรักษาได้ทันนั่นเอง
อย่าละเลยและคิดว่ากระดูกเชิงกรานไม่ใช่กระดูกส่วนสำคัญที่ต้องดูแลมากมาย ใครที่กำลังมีปัญหากับกระดูกเชิงกราน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อที่จะหาวิธีการรักษาให้ถูกต้องต่อไป อย่าปล่อยทิ้งไว้นานๆ เพราะอาจจะนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี