มะเร็งปอดเป็นโรคที่มีความซับซ้อนในการรักษา และยังมีความเข้าใจผิดหลายประการเกี่ยวกับโรคนี้ บทความนี้รวบรวม 15 ข้อควรรู้และข้อเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษามะเร็งปอด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและคนรอบข้างมีความรู้ที่ถูกต้อง เข้าใจแนวทางการรักษาที่เหมาะสม และลดความกังวลใจในการเผชิญกับโรคนี้อย่างมั่นใจมากขึ้น
สารบัญ
- 1. การรักษามะเร็งปอดมีกี่วิธี
- 2. รักษามะเร็งปอดด้วยวิธีไหนดีที่สุด
- 3. มะเร็งปอดมีกี่ระยะ แต่ละระยะรักษาอย่างไร
- 4. มะเร็งปอดรักษาหายได้ไหม
- 5. การผ่าตัดมะเร็งปอด มีขั้นตอนอย่างไร
- 6. การผ่าตัดมะเร็งปอดแบบส่องกล้อง (VATS) คืออะไร
- 7. การผ่าตัดมะเร็งปอด มีความเสี่ยงไหม
- 8. ผลข้างเคียงของการรักษามีอะไรบ้าง
- 9. ดูแลตัวเองอย่างไรระหว่างและหลังการรักษา
- 10. มะเร็งปอดรักษาไม่หาย จริงไหม
- 11. ทำเคมีบำบัดผลข้างเคียงเป็นอย่างไร
- 12. การผ่าตัดส่องกล้องได้ผลลัพธ์เหมือนการผ่าตัดแบบเปิดไหม
- 13. แม้ว่าผ่าตัดแล้ว ก็จะกลับมาเป็นซ้ำอีก
- 14. ยามุ่งเป้า หรือภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นทางเลือกสุดท้ายของการรักษามะเร็งปอดจริงไหม
- 15. การรักษามะเร็งปอดต้องพักรักษาตัวนานไหม
1. การรักษามะเร็งปอดมีกี่วิธี
ตอบ: การรักษามะเร็งปอดมีหลายวิธี โดยแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมตามชนิดของมะเร็ง (เช่น มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก SCLC หรือไม่ใช่เซลล์เล็ก NSCLC) ระยะของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และผลการตรวจทางพันธุกรรมของเซลล์มะเร็ง โดยวิธีหลักในการรักษามีดังนี้
- การผ่าตัด (Surgery) เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC) ที่อยู่ในระยะเริ่มต้นและยังไม่ลุกลาม แพทย์อาจตัดกลีบปอด ปอดข้างหนึ่ง หรือบางส่วนของปอด ร่วมกับการให้เคมีบำบัดหรือฉายรังสีภายหลังในบางกรณี
- เคมีบำบัด (Chemotherapy) ใช้ยาทำลายหรือยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง มักใช้กับผู้ป่วยระยะลุกลาม หรือผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ ยาที่ใช้ได้แก่ Cisplatin, Carboplatin และ Paclitaxel
- การฉายรังสี (Radiation Therapy) ใช้ลำแสงพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือใช้ร่วมกับเคมีบำบัด โดยเฉพาะระยะที่ 3 วิธีที่นิยมคือ EBRT และ SBRT สำหรับก้อนขนาดเล็ก
- การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) ใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับยีนกลายพันธุ์ เช่น EGFR, ALK หรือ ROS1 มีผลข้างเคียงน้อยและประสิทธิภาพดีเมื่อยาตรงกับยีนผิดปกติ
- ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์มะเร็ง เหมาะกับผู้ที่ไม่มีการกลายพันธุ์เฉพาะ และมีค่า PD-L1 สูง เช่น ใช้ยา Pembrolizumab หรือ Nivolumab
- การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) เน้นบรรเทาอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยระยะท้าย หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาหลัก เช่น การให้ยาแก้ปวด ดูแลด้านจิตใจ และการหายใจ โดยทีมเวชศาสตร์ประคับประคอง
2. รักษามะเร็งปอดด้วยวิธีไหนดีที่สุด
ตอบ: การเลือกวิธีรักษามะเร็งปอดขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง (เช่น NSCLC หรือ SCLC) ระยะของโรค สุขภาพของผู้ป่วย และผลตรวจทางพันธุกรรมของเซลล์มะเร็ง โดยมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC) ที่อยู่ในระยะเริ่มต้น มักรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น การตัดกลีบปอดหรือปอดข้างหนึ่ง
หากมะเร็งลุกลาม แพทย์อาจใช้เคมีบำบัด รังสีรักษา หรือภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมด้วย ส่วนมะเร็งชนิดเซลล์เล็ก (SCLC) ซึ่งลุกลามรวดเร็ว มักใช้เคมีบำบัดและฉายรังสีเป็นหลัก
หากพบการกลายพันธุ์ของยีน เช่น EGFR, ALK หรือ ROS1 แพทย์จะเลือกใช้ยามุ่งเป้า ซึ่งออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง หรือในกรณีที่พบการแสดงออกของ PD-L1 สูง อาจใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ในผู้ป่วยที่อยู่ในระยะท้ายหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาหลัก การดูแลแบบประคับประคองจะช่วยบรรเทาอาการและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีที่สุดตามสภาพของโรค
3. มะเร็งปอดมีกี่ระยะ แต่ละระยะรักษาอย่างไร
ตอบ: มะเร็งปอดแบ่งระยะและแนวทางการรักษาได้ตามชนิดของมะเร็ง ดังนี้
มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC) แบ่งเป็น 4 ระยะ
- ระยะ 0 มะเร็งยังอยู่เฉพาะในเยื่อบุผิวของหลอดลมหรือปอด ยังไม่ลุกลาม การรักษาในระยะนี้ทำได้โดยผ่าตัดแบบจำกัดพื้นที่ เช่น การตัดเฉพาะบางส่วนของปอด
- ระยะ 1 ก้อนมะเร็งอยู่เฉพาะในปอด ยังไม่ลามต่อมน้ำเหลือง การรักษาในระยะนี้ทำได้โดยการผ่าตัด เช่น การตัดกลีบปอด (Lobectomy) แพทย์อาจพิจารณาเคมีบำบัดเสริมในบางราย
- ระยะ 2 มะเร็งลุกลามต่อมน้ำเหลืองใกล้ปอดหรือผนังหน้าอก การรักษาในระยะนี้ทำได้โดยผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัดหรือฉายรังสี เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
- ระยะ 3 มะเร็งลุกลามกว้างขึ้น อาจกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณกลางทรวงอก หรือโครงสร้างใกล้เคียง การรักษาในระยะนี้ทำได้โดยใช้การรักษาร่วม เช่น เคมีบำบัด และรังสี หรือในบางกรณีอาจผ่าตัดได้หากยังไม่ลุกลามมาก
- ระยะ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น สมอง ตับ หรือกระดูก ในระยะนี้ไม่สามารถผ่าตัดได้ มุ่งเน้นการควบคุมโรคด้วยเคมีบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด การรักษาแบบมุ่งเป้า และการดูแลแบบประคับประคอง
มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (SCLC) แบ่งเป็น 2 ระยะ
- ระยะจำกัด มะเร็งอยู่เฉพาะด้านใดด้านหนึ่งของทรวงอก และยังสามารถรักษาในบริเวณเดียวด้วยรังสี การรักษาในระยะนี้ทำได้โดยเคมีบำบัดร่วมกับรังสี อาจพิจารณารังสีสมองป้องกัน (PCI)
- ระยะแพร่กระจาย มะเร็งแพร่กระจายออกไปนอกรอบทรวงอก การรักษาในระยะนี้ทำได้โดยวิธีเคมีบำบัดเป็นหลัก อาจร่วมกับภูมิคุ้มกันบำบัด เพื่อควบคุมอาการและยืดอายุผู้ป่วย
4. มะเร็งปอดรักษาหายได้ไหม
ตอบ: ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยเฉพาะหากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสในการรักษาให้หายมีมากขึ้น โดยเฉพาะในมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC) ที่ยังไม่ลุกลาม แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก ซึ่งบางรายสามารถรักษาหายขาดได้เมื่อร่วมกับวิธีอื่น เช่น เคมีบำบัดหรือฉายรังสี
อย่างไรก็ตาม หากมะเร็งอยู่ในระยะลุกลามหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาสมัยใหม่ เช่น ยามุ่งเป้าและภูมิคุ้มกันบำบัด สามารถช่วยควบคุมโรค ยืดอายุ และปรับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างมาก โดยบางรายอาจมีชีวิตยืนยาวได้หลายปี
ดังนั้น หากตรวจพบมะเร็งปอดเร็ว และได้รับการรักษาที่เหมาะสม โอกาสรักษาหายหรือควบคุมโรคระยะยาวก็มีความเป็นไปได้สูงขึ้นมากในปัจจุบัน
5. การผ่าตัดมะเร็งปอด มีขั้นตอนอย่างไร
ตอบ: การผ่าตัดมะเร็งปอดเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มะเร็งยังอยู่ในระยะแรก และยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น แพทย์จะตัดเนื้อเยื่อปอดที่มีมะเร็งออก เช่น การตัดกลีบปอดทั้งหมด หรือในบางกรณีอาจตัดปอดข้างหนึ่งออกทั้งหมด ขึ้นกับขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง รวมถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
ขั้นตอนการผ่าตัดมักเริ่มจากการวางยาสลบ หลังจากนั้นแพทย์จะเปิดช่องอกผ่านการผ่าตัดแบบเปิดแผลใหญ่ หรือใช้เทคนิคการส่องกล้อง (VATS) ที่แผลเล็กกว่าและฟื้นตัวได้เร็วกว่า การเลือกวิธีผ่าตัดขึ้นอยู่กับลักษณะของมะเร็งและสภาพร่างกายของผู้ป่วย
6. การผ่าตัดมะเร็งปอดแบบส่องกล้อง (VATS) คืออะไร
ตอบ: การผ่าตัดด้วยเทคนิคการส่องกล้อง หรือ VATS (Video-Assisted Thoracoscopic Surgery) เป็นวิธีผ่าตัดมะเร็งปอดโดยใช้กล้องขนาดเล็กและเครื่องมือผ่าตัดผ่านแผลขนาดเล็กบนผนังทรวงอก แทนการเปิดแผลใหญ่แบบผ่าตัดปกติ เทคนิคนี้ช่วยให้แพทย์มองเห็นภายในปอดและบริเวณรอบๆ ได้ชัดเจนผ่านจอภาพ ทำให้สามารถตัดเนื้องอกหรือกลีบปอดได้อย่างแม่นยำ
ข้อดีของการผ่าตัดแบบ VATS คือ แผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดเปิดแผลใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว ลดเวลาการนอนโรงพยาบาล และโอกาสติดเชื้อน้อยลง นอกจากนี้ การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อโดยรอบก็น้อยกว่าด้วย ส่งผลให้คุณภาพชีวิตหลังผ่าตัดดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มะเร็งอยู่ในระยะเริ่มต้นและยังไม่ลุกลามมาก หรือก้อนมะเร็งมีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยแพทย์จะประเมินความเหมาะสมก่อนตัดสินใจใช้วิธีนี้
แม้การผ่าตัดแบบ VATS จะมีข้อดีมาก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดทั่วไป เช่น การติดเชื้อหรือเลือดออก แพทย์จะติดตามอาการอย่างใกล้ชิดหลังผ่าตัดเพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างปลอดภัยและรวดเร็วที่สุด
7. การผ่าตัดมะเร็งปอด มีความเสี่ยงไหม
ตอบ: แม้การผ่าตัดจะช่วยกำจัดก้อนมะเร็งได้โดยตรง แต่ก็มีความเสี่ยงและผลข้างเคียง เช่น การติดเชื้อ แผลผ่าตัดไม่หายดี ภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจ รวมถึงความเหนื่อยล้าและปัญหาการหายใจหลังผ่าตัด ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งก่อนและหลังผ่าตัด
หลังการผ่าตัด แพทย์อาจแนะนำให้รับการรักษาเพิ่มเติม เช่น เคมีบำบัดหรือฉายแสง เพื่อป้องกันมะเร็งกลับมาใหม่ และมีการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อเฝ้าระวังการลุกลามหรือกลับเป็นซ้ำของโรค
8. ผลข้างเคียงของการรักษามีอะไรบ้าง
ตอบ: ผลข้างเคียงของการรักษามะเร็งปอดแตกต่างกันไปตามวิธีที่ใช้ เช่น การผ่าตัดอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวด บวม ฟกช้ำ และเสี่ยงติดเชื้อ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนทางปอด เช่น ปอดแฟบหรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ หลังผ่าตัดผู้ป่วยต้องพักฟื้นและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อเร่งการฟื้นตัว
เคมีบำบัดมีผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง ภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้เสี่ยงติดเชื้อ และอ่อนเพลีย แพทย์จะให้ยาป้องกันอาการข้างเคียงและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนยาให้เหมาะสม
การฉายรังสีอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง บวมบริเวณที่ฉาย รู้สึกเหนื่อยล้า และในบางกรณีอาจส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อปอด ทำให้หายใจลำบาก การดูแลเน้นการพักผ่อนและบำรุงผิว รวมถึงติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
ยามุ่งเป้าและภูมิคุ้มกันบำบัดมักมีผลข้างเคียงน้อยกว่าเคมีบำบัด แต่ก็อาจทำให้เกิดผื่นแพ้ ปวดข้อ หรือปฏิกิริยาที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน เช่น การอักเสบของปอดหรือตับ แพทย์จะติดตามอาการอย่างใกล้ชิดและให้ยารักษาหรือปรับการรักษาเมื่อต้องการ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดระหว่างการรักษา
9. ดูแลตัวเองอย่างไรระหว่างและหลังการรักษา
ตอบ: การดูแลตัวเองระหว่างการรักษามะเร็งปอดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวและลดผลข้างเคียงจากการรักษา เช่น เคมีบำบัดหรือฉายรังสี ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ควรแจ้งแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูง คลื่นไส้ หรืออ่อนเพลียมากผิดปกติ
หลังจากการรักษา ผู้ป่วยควรติดตามผลกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำของมะเร็ง รวมถึงประเมินสุขภาพโดยรวมอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเบาๆ อย่างการเดิน หรือโยคะ สามารถช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายและสุขภาพจิต แต่ต้องไม่หักโหมเกินไป
นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ หรือการอยู่ในที่มีควันบุหรี่จัด จะช่วยลดโอกาสการลุกลามของโรคและป้องกันโรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยากับการรักษาเรื่องที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษามะเร็งปอด
10. มะเร็งปอดรักษาไม่หาย จริงไหม
ตอบ: ไม่จริง มะเร็งปอดสามารถรักษาให้หายขาดได้ในบางกรณี โดยเฉพาะถ้าตรวจพบในระยะแรกๆ และได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การผ่าตัดเพื่อตัดเนื้องอกออกไปทั้งหมด ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะหายขาดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มมะเร็งปอดชนิดที่ไม่ใช่เซลล์เล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer: NSCLC) ซึ่งมักจะเติบโตช้ากว่าชนิดเซลล์เล็ก
การรักษามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น เช่น ระยะที่ 1 หรือ 2 โดยทั่วไปจะเน้นการผ่าตัดเป็นหลัก และอาจมีการใช้รังสีหรือเคมีบำบัดเสริมหลังผ่าตัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ การรักษาแบบนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการหายขาดและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบในระยะที่ก้าวหน้าหรือมีการแพร่กระจาย การรักษาอาจเปลี่ยนเป็นการควบคุมโรคให้อยู่ในระดับที่ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้นานขึ้น
นอกจากนี้ เทคโนโลยีและวิธีการรักษาใหม่ๆ เช่น ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) และภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการควบคุมโรคและยืดอายุของผู้ป่วย แม้ในระยะที่โรคแพร่กระจายมากแล้วก็ตาม ถึงแม้ไม่สามารถหายขาดในทุกกรณี แต่การรักษาที่เหมาะสมและทันสมัยช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้มากกว่าที่เคยเป็นมา
11. ทำเคมีบำบัดผลข้างเคียงเป็นอย่างไร
ตอบ: การรักษาด้วยเคมีบำบัดในปัจจุบันมีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลการรักษาที่ดีขึ้น พร้อมกับลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด
เคมีบำบัดทำงานโดยใช้ยาเพื่อฆ่าหรือยับยั้งเซลล์มะเร็ง แต่ยากลุ่มนี้ก็อาจส่งผลต่อเซลล์ปกติที่แบ่งตัวเร็ว เช่น เซลล์ผมและเซลล์เม็ดเลือด ทำให้เกิดอาการข้างเคียงบางอย่าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง หรือภูมิคุ้มกันต่ำ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมียาและวิธีการช่วยบรรเทาอาการข้างเคียงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ยาต้านอาเจียน การดูแลโภชนาการที่เหมาะสม และการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์และพยาบาล
นอกจากนี้ การตอบสนองต่อเคมีบำบัดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน บางคนอาจมีผลข้างเคียงน้อยและสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ในขณะที่บางคนอาจต้องพักผ่อนมากขึ้น แต่ทีมแพทย์จะปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและอาการของผู้ป่วย เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดความทุกข์ทรมานให้น้อยที่สุด
12. การผ่าตัดส่องกล้องได้ผลลัพธ์เหมือนการผ่าตัดแบบเปิดไหม
ตอบ: ผู้ป่วยบางรายเข้าใจผิดว่า การผ่าตัดส่องกล้อง (VATS: Video-Assisted Thoracic Surgery) ไม่ปลอดภัยเท่าการผ่าตัดแบบเปิด เนื่องจากความคุ้นเคยหรือความกังวลเกี่ยวกับการมองเห็นผ่านกล้องและการทำงานผ่านแผลเล็กๆ แต่ในความเป็นจริง การผ่าตัดส่องกล้องถือเป็นเทคนิคที่ทันสมัยและปลอดภัยมาก มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับการผ่าตัดเปิดแบบดั้งเดิม
การผ่าตัดส่องกล้องใช้กล้องวิดีโอและเครื่องมือขนาดเล็กผ่านแผลขนาดเล็ก ทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดแผลที่เล็กลง ลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือเลือดออกมาก นอกจากนี้การมองเห็นผ่านกล้องยังช่วยให้แพทย์เห็นภาพที่ชัดเจนและขยายรายละเอียดในช่องอก ซึ่งช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและปลอดภัยสูง
อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดส่องกล้องอาจมีข้อจำกัดในบางกรณี เช่น ก้อนมะเร็งที่มีขนาดใหญ่ หรือมีการลุกลามซับซ้อน ซึ่งอาจต้องใช้การผ่าตัดเปิดเพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงที่ดีขึ้น แต่โดยทั่วไป VATS ถือเป็นมาตรฐานการรักษาที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกสำหรับผู้ป่วยมะเร็งปอดในระยะที่เหมาะสม และมีผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีเทียบเท่าหรือดีกว่าการผ่าตัดแบบเปิดในหลายๆ กรณี
13. แม้ว่าผ่าตัดแล้ว ก็จะกลับมาเป็นซ้ำอีก
ตอบ: ความเชื่อที่ว่า โรคมะเร็งปอดจะกลับมาเสมอหลังการรักษา เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด แม้ว่ามะเร็งปอดจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ แต่ไม่ใช่ทุกกรณีที่จะเกิดขึ้นเสมอไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะของโรคตอนวินิจฉัย ชนิดของมะเร็ง การตอบสนองต่อการรักษา และสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ในระยะเริ่มต้น หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด โอกาสที่มะเร็งจะไม่กลับมาและผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นมีสูง อย่างไรก็ตาม มะเร็งบางชนิดหรือในระยะที่ลุกลามมาก อาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงกว่า เพราะเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ในร่างกายอาจเจริญเติบโตใหม่ได้
ดังนั้น การติดตามผลอย่างต่อเนื่องหลังการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็ง หากตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก็จะมีโอกาสรักษาให้ได้ผลดีขึ้น และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
14. ยามุ่งเป้า หรือภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นทางเลือกสุดท้ายของการรักษามะเร็งปอดจริงไหม
ตอบ: ยามุ่งเป้าเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของยีนเฉพาะ เช่น EGFR, ALK หรือ ROS1 ซึ่งช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและผลข้างเคียงน้อยกว่าวิธีดั้งเดิม ส่วนภูมิคุ้มกันบำบัดเหมาะกับผู้ป่วยที่มีโปรตีน PD-L1 สูงและไม่มีการกลายพันธุ์เฉพาะเจาะจง โดยทั้งสองวิธีนี้สามารถใช้เป็นการรักษาหลัก หรือร่วมกับเคมีบำบัดได้ตามการวินิจฉัยของแพทย์
ดังนั้น การรักษาด้วยยามุ่งเป้าหรือภูมิคุ้มกันบำบัดไม่ได้จำกัดอยู่แค่เป็นทางเลือกสุดท้าย แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการรักษาที่ทันสมัยและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อเพิ่มโอกาสในการควบคุมโรคและยืดอายุ รวมทั้งช่วยลดผลข้างเคียงเมื่อเทียบกับการรักษาแบบเดิมบางรูปแบบ
15. การรักษามะเร็งปอดต้องพักรักษาตัวนานไหม
ตอบ: ระยะเวลาพักฟื้นและการรักษามะเร็งปอดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาและสภาพร่างกายของแต่ละคน
สำหรับผู้ป่วยที่ผ่าตัดมะเร็งปอด เทคนิคการผ่าตัดในปัจจุบัน เช่น การผ่าตัดส่องกล้อง (VATS) ช่วยลดการบาดเจ็บและระยะเวลาพักฟื้น ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นกว่าการผ่าตัดแบบเปิดช่องอกแบบดั้งเดิม แม้ว่าจะต้องใช้เวลาพักฟื้นเป็นสัปดาห์หรือบางครั้งอาจนานกว่านั้น
แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง รวมถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
ในกรณีที่ใช้การรักษาแบบเคมีบำบัดหรือฉายรังสี ระยะเวลารักษาจะขึ้นกับแผนการรักษาที่แพทย์กำหนด ซึ่งอาจกินเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน การรักษาเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย หรือมีผลข้างเคียงบางอย่าง แต่ทีมแพทย์จะติดตามอย่างใกล้ชิดและให้การดูแลเพื่อช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ดีขึ้นในช่วงพักฟื้น
หากมีความรู้ที่ถูกต้องและความเข้าใจในแนวทางการรักษา มะเร็งปอดก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัวอีกต่อไป การดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิดและรับคำแนะนำจากแพทย์จะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลที่เรารู้มาใช่เรื่องจริงไหม? เข้าใจผิดหรือเปล่า? ไม่รู้จะถามใครดี ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจรักษามะเร็งปอด จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย