การไอเป็นอาการที่เราทุกคนเคยพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นจากอาการเจ็บคอ หรือจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ แต่ถ้าอาการไอที่เกิดขึ้นนั้นเรื้อรัง ยืดเยื้อและไม่หายไป มีอาการไอแห้งติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือแม้แต่ไอที่มีเลือดปน อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายที่รีบตรวจและรักษาโดยด่วน หากปล่อยไว้ อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
การรู้จักแยกแยะประเภทของอาการไอและทราบถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ จะช่วยให้สามารถรับมือและรักษาได้อย่างถูกต้อง
สารบัญ
การไอคืออะไร?
การไอ (Coughing) คือกระบวนการที่ร่างกายใช้ในการขับอากาศออกจากปอดโดยผ่านกล่องเสียง ด้วยความเร็วสูงมาก ซึ่งช่วยให้ร่างกายขับสิ่งแปลกปลอมหรือสารระคายเคืองออกจากทางเดินหายใจ การไอสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น ไอแห้ง ไอมีเสมหะ หรือไอที่มีเสียงหายใจสูง (เสียงหวีด) ซึ่งมักจะมีสาเหตุแตกต่างกันไป
ประเภทของการไอ
อาการไอสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะดังนี้
1. ไอแห้ง (Dry Cough)
เป็นอาการไอที่ไม่มีเสมหะหรือสารคัดหลั่งออกมาร่วมด้วย รู้สึกคล้ายมีสิ่งระคายเคืองในลำคอ หรือทางเดินหายใจส่วนต้น มักทำให้เกิดความรู้สึกคันคอหรือระคายคอตลอดเวลา
ลักษณะเด่นของการไอแห้ง
- ไอติดๆ ขัดๆ ไม่มีอะไรออกมา
- รู้สึกเจ็บหรือแสบคอขณะไอ
- มักเป็นมากในช่วงกลางคืน หรือในที่อากาศแห้ง
- บางรายอาจรู้สึกเสียงแหบหรือกลืนลำบากร่วมด้วย
การไอแห้งอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันโดยเฉพาะตอนกลางคืน
2. ไอแบบมีเสมหะ (Productive or Wet Cough)
เป็นอาการไอที่มีเสมหะหรือสารคัดหลั่งออกมาจากทางเดินหายใจ มักเกิดจากร่างกายพยายามขับของเสีย หรือสารแปลกปลอมออกจากปอดและหลอดลม
ลักษณะเด่นของการไอมีเสมหะ
- มีน้ำมูกหรือของเหลวเหนียวออกมาพร้อมการไอ
- เสียงไอมักมีความ “ชื้น” หรือ “หนืด”
- เสมหะอาจมีสีใส ขาว เหลือง หรือเขียว ขึ้นกับสถานะของร่างกาย
- อาจรู้สึกโล่งขึ้นเล็กน้อยหลังจากขับเสมหะออก
การไอแบบนี้มักทำให้รู้สึกไม่สบายในหน้าอกหรือลำคอ และอาจจำเป็นต้องขับเสมหะบ่อยครั้งในแต่ละวัน
3. ไอเรื้อรัง (Chronic Cough)
เป็นอาการไอที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน มักนานกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่ดีขึ้นแม้พักผ่อนหรือใช้ยาทั่วไป
ลักษณะเด่นของการไอเรื้อรัง
- อาการไอเกิดขึ้นทุกวัน และต่อเนื่องกันนานหลายสัปดาห์
- อาจเป็นไอแห้งหรือมีเสมหะร่วมด้วย
- บางคนไอมากช่วงเช้าหรือก่อนนอน
- รบกวนการนอนหลับและคุณภาพชีวิตประจำวัน
แม้ไม่เจ็บปวดรุนแรง แต่หากเป็นต่อเนื่อง ควรได้รับการประเมินจากแพทย์
4. ไอเป็นเลือด (Hemoptysis)
เป็นอาการไอที่มีเลือดปนออกมาพร้อมกับเสมหะ หรือไอเป็นเลือดสดในบางครั้ง เป็นสัญญาณที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที
ลักษณะเด่นของการไอเป็นเลือด
- มีเลือดสีแดงสดหรือคล้ำออกมาระหว่างการไอ
- อาจออกมาพร้อมเสมหะ หรือเป็นเลือดเพียงอย่างเดียว
- ปริมาณเลือดอาจมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงมาก
- อาจรู้สึกเจ็บหน้าอกหรือหายใจติดขัดร่วมด้วย
การไอแบบนี้ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างเร่งด่วน เพราะอาจเกี่ยวข้องกับการระคายเคืองหรือการบาดเจ็บภายในทางเดินหายใจ
โรคที่เกี่ยวข้องกับการไอที่ต้องระวัง
อาการไอแห้ง ไอเรื้อรัง และไอเป็นเลือดสามารถบ่งบอกถึงโรคที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับปอดและการติดเชื้อ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ได้แก่
1. มะเร็งปอด (Lung Cancer)
มะเร็งปอดเป็นสาเหตุหลักของการไอเรื้อรังและไอเป็นเลือด มักเกิดจากการสูบบุหรี่หรือมลพิษทางอากาศ และอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอเรื่อยๆ โดยไม่หายไป รวมถึงหายใจลำบากและเจ็บหน้าอก
2. เนื้องอกในปอด (Pulmonary Tumors)
เนื้องอกในปอดสามารถเป็นได้ทั้งชนิดมะเร็งและไม่ใช่มะเร็ง โดยเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็งอาจทำให้เกิดอาการไอเรื้อรังหรือไอแห้ง เนื้องอกขนาดใหญ่สามารถกดทับหลอดลมหรือหลอดเลือดในปอดและทำให้เกิดการระคายเคือง
3. ถุงลมโป่งพอง (Emphysema)
โรคนี้เกิดจากการเสื่อมสภาพของถุงลมในปอด ซึ่งทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนกับคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดอาการไอเรื้อรังหรือไอเป็นเลือดในบางกรณี
4. โรคกรดไหลย้อน (GERD) และผลกระทบต่อทางเดินหายใจ
กรดในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในลำคอและทำให้เกิดอาการไอแห้งเรื้อรัง การไอจาก GERD มักจะเกิดในตอนกลางคืนและอาจทำให้เกิดไอเป็นเลือดได้ในบางกรณี
อาการไอแบบไหน ควรไปพบแพทย์ทันที
1. ไอเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์
หากคุณมีอาการไอต่อเนื่องเกิน 3 สัปดาห์โดยไม่ดีขึ้น หรือแม้จะรับประทานยาแก้ไอแล้วยังไม่หาย ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะอาจเป็นสัญญาณของ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic Bronchitis) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) วัณโรค มะเร็งปอด
2. ไอเป็นเลือด
การไอแล้วมีเลือดปนมากับเสมหะ หรือเลือดสดออกมาระหว่างการไอ เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าอาจมีความผิดปกติในทางเดินหายใจ เช่น วัณโรค มะเร็งปอด ปอดบวมชนิดรุนแรง ถุงลมโป่งพองที่แตก ภาวะเส้นเลือดฝอยในปอดแตก ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อทำเอกซเรย์หรือ CT Scan ตรวจสอบสภาพปอดอย่างละเอียด
3. ไอร่วมกับหายใจเหนื่อย เจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก
หากคุณมีอาการไอร่วมกับหอบเหนื่อยโดยเฉพาะขณะนอน หายใจติดขัดเหมือนมีอะไรมาจุกที่อก เจ็บแปลบที่หน้าอกขณะไอหรือหายใจเข้า หายใจมีเสียงหวีด อาจเป็นสัญญาณของโรคหอบหืด ปอดอักเสบ ลมรั่วในเยื่อหุ้มปอด (Pneumothorax) หรือภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)
4. ไอร่วมกับไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย หรือเหงื่อออกกลางคืน
อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าคุณติดเชื้อรุนแรงในระบบทางเดินหายใจ เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ (Pneumonia) การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสเฉียบพลัน หากปล่อยไว้ อาจลุกลามเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
5. ไอแห้งนานๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
ไอแห้งที่ไม่มีเสมหะและไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย อาจเกิดจากโรคกรดไหลย้อน (GERD) หอบหืดชนิดไม่มีเสียงวี้ด การระคายเคืองจากฝุ่น ควัน มลพิษ หรือสารเคมี ผลข้างเคียงจากยารักษาความดันโลหิต (เช่น ACE Inhibitors) แม้จะดูไม่รุนแรง แต่หากไอแห้งติดต่อกันหลายสัปดาห์ควรตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด
6. มีประวัติสูบบุหรี่จัด หรืออยู่ในพื้นที่มลพิษสูง และมีอาการไอเรื้อรัง
ผู้ที่มีความเสี่ยงเหล่านี้ ควรระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคปอดเรื้อรัง หรือมะเร็งปอด การตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้อย่างมาก
วิธีการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอาการไอ
หากผู้ป่วยมีอาการไอที่มีลักษณะแปลกไปจากการไอปกติ และเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง โดยแพทย์อาจตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการต่อไปนี้
- การถ่ายภาพเอ็กซเรย์ปอด (Chest X-ray): ใช้เพื่อดูสภาพของปอดและการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดจากโรคต่างๆ
- CT scan: ใช้ในการตรวจหาสิ่งผิดปกติในปอด เช่น เนื้องอกหรือลมรั่วในปอด
- การทดสอบการทำงานของปอด: ตรวจสอบการทำงานของปอดและประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนอากาศ
การรักษาอาการไอ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ โดยอาจต้องใช้ยา หรือการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น
อาการไอแห้ง ไอเรื้อรัง และไอเป็นเลือดไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับปอด เช่น มะเร็งปอด เนื้องอกในปอด หรือถุงลมโป่งพอง และโรคกรดไหลย้อนที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ หากพบอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
อาการไอที่เป็นอยู่ เสี่ยงโรคปอดไหม? อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย