colectomy surgery treatment comparison

วิธีผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ แบบเปิด VS แบบส่องกล้อง ต่างกันอย่างไร

หนึ่งในวิธีการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพคือการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันการผ่าตัดรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ มี 2 วิธีที่นิยม คือ การผ่าตัดมะเร็งลำไส้แบบเปิดหน้าท้อง และการผ่าตัดมะเร็งลำไส้แบบส่องกล้อง

การผ่าตัดทั้ง 2 เทคนิคนี้แตกต่างกันอย่างไร ขั้นตอน ระยะเวลา ข้อดีและข้อเสีย บทความนี้จะมาเปรียบเทียบให้ทราบกัน

ขั้นตอนการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

การผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบเปิด และแบบส่องกล้องนั้น มีขั้นตอนที่แตกต่างกัน รวมทั้งระยะเวลาในการผ่าตัดที่ต่างกันด้วย ดังนี้

การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบเปิด

การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบเปิด เป็นการผ่าตัดมาตรฐาน ใช้รักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ทุกรูปแบบ โดยมีขั้นตอนหลักๆ ได้แก่

  • วิสัญญีแพทย์วางยาสลบผู้ป่วย
  • แพทย์กรีดเปิดแผลความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตรบริเวณหน้าท้อง
  • แพทย์ผ่าตัดนำลำไส้ส่วนที่เป็นมะเร็ง พร้อมตัดต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับความเสียหายจากเซลล์มะเร็งออก
  • เย็บปิดแผล

กระบวนการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบเปิดนี้ ใช้เวลาประมาณ​ 90 นาที ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของอาการ

2. การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง

การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง เป็นการผ่าตัดรูแบบใหม่ ที่ได้รับความนนิยมในปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีขั้นตอนหลักๆ ได้แก่

  • วิสัญญีแพทย์วางยาสลบผู้ป่วย
  • แพทย์เจาะรูแผลที่หน้าท้องขนาดประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร จำนวน 3-4 แผล จากนั้นสอดกล้องผ่าตัดพร้อมอุปกรณ์ผ่าตัดเข้าไปด้านในแผล 
  • แพทย์ตัดนำลำไส้ส่วนที่เป็นมะเร็ง พร้อมเลาะต่อมน้ำเหลือส่วนที่ได้รับความเสียหายจากเซลล์มะเร็งออก

กระบวนการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 1-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนในการผ่าตัดผู้ป่วยแต่ละราย

จะสังเกตว่า ระยะเวลาในการผ่าตัดแบบส่องกล้องนั้น นานกว่าการผ่าตัดแบบเปิด เนื่องจากกระบวนการมีความซับซ้อนกว่า แพทย์ต้องดูการผ่าตัดผ่านกล้อง รวมทั้งต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะช่วยในการผ่าตัด นอกจากนี้ แพทย์จะต้องมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือผ่าตัดด้วย 

ข้อดีและข้อเสียของการผ่าตัดมะเร็งลำไส้แต่ละแบบ

การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบเปิด

ข้อดี

  • ใช้ผ่าตัดรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ได้แทบทุกรูปแบบ ทั้งในผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ หรือที่เซลล์มะเร็งกระจายไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงเยอะ
  • ระยะเวลาในการผ่าตัดสั้นกว่า
  • ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดถูกกว่า

ข้อเสีย

  • แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่ 20-30 เซนติเมตร
  • ผู้ป่วยเสียเลือดมากกว่าการผ่าตัดแบบส่องกล้อง 
  • มีอาการเจ็บแผลได้มากกว่า
  • หลังผ่าตัดจะใช้เวลาฟื้นตัวค่อนข้างนาน โดยหลังออกจากโรงพยาบาล ต้องพักฟื้นประมาณ 4-6 สัปดาห์
  • โอกาสติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดสูงกว่า

2. การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง 

ข้อดี

  • ขนาดแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กกว่า ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร จำนวน 3-4 แผล
  • ผู้ป่วยเสียเลือดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด 
  • มีอาการเจ็บแผลน้อยกว่า
  • ระยะเวลาพักฟื้นสั้น ผู้ป่วยฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วกว่า
  • โอกาสเสียเลือดน้อยกว่า
  • โอกาสติดเชื้อ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า

ข้อเสีย

  • ต้องอาศัยความชำนาญจากแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ผ่าตัดแบบส่องกล้องเท่านั้น
  • ใช้ระยะเวลาผ่าตัดนานกว่า ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย
  • มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

ทั้งการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบเปิดและแบบส่องกล้องมีขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดที่เหมือนกัน เว้นแต่ในผู้ที่มีเงื่อนไขด้านสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย อาจต้องมีการเตรียมตัวพิเศษอื่นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ แต่โดยหลัก ๆ การผ่าตัดทั้ง 2 แบบจะมีขั้นตอนการเตรียมตัวดังต่อไปนี้

  • ผู้ป่วยแจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติโรคประจำตัว รวมถึงรายการยาประจำตัว วิตามิน อาหารเสริมที่กินอยู่ ณ ปัจจุบันให้แพทย์ทราบล่วงหน้าอย่างครบถ้วน
  • ตรวจสุขภาพตามรายการที่แพทย์กำหนด เพื่อประเมินความพร้อมก่อนรับการผ่าตัด
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ จะต้องควบคุมโรคให้อยู่ในระดับที่แพทย์ประเมินว่า มีความปลอดภัยต่อการผ่าตัด
  • งดอาหารและน้ำล่วงหน้า 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
  • งดกินอาหารที่มีกากใยสูงและกินอาหารเหลวหรือที่เป็นน้ำใสตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด เพื่อทำความสะอาดลำไส้ให้สะอาดก่อนผ่าตัด 
  • กินยาถ่ายที่แพทย์สั่งจ่ายให้ก่อนผ่าตัด เพื่อไม่ให้มีอุจจาระและสิ่งตกค้างในลำไส้

การดูแลตนเองหลังผ่าตัด

การดูแลตนเองหลังผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ทั้งแบบเปิด และแบบส่องกล้องโดยภาพรวมค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่จะมีบางคำแนะนำที่แตกต่างกันบ้าง เนื่องจากขนาดของแผลผ่าตัดของทั้ง 2 เทคนิคที่ไม่เท่ากัน และส่งผลต่อกระบวนการฟื้นตัวหลังผ่าตัดของผู้ป่วย รายละเอียดดังนี้

  • สำหรับการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง งดยกของหนักและงดออกกำลังกายอย่างหนัก 3-4 เดือน เนื่องจากการผ่าตัดแบบเปิดเป็นเทคนิคผ่าตัดที่แพทย์ต้องตัดชั้นกล้ามเนื้อหน้าท้องออกค่อนข้างเยอะ และมีขนาดแผลผ่าตัดค่อนข้างใหญ่
  • สำหรับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง งดยกของหนักและงดออกกำลังกายอย่างหนักประมาณ 1 เดือน นอกจากนั้นผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทุกประการ
  • งดให้แผลโดนน้ำ และทำความสะอาดแผลตามที่แพทย์แนะนำ
  • กินยาตามที่แพทย์สั่งจ่ายให้อย่างเคร่งครัด
  • ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
  • กินอาหารที่มีใยอาหารแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเพิ่มปริมาณขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์ อย่าเพิ่งรีบกินในปริมาณมากในทันที เพื่อป้องกันอาการแน่นท้องหรือท้องอืดหลังจากเพิ่งผ่าตัด
  • เดินทางมาตรวจติดตามอาการตามนัดหมายของแพทย์อยู่เสมอ โดยในปีแรก แพทย์อาจนัดทุก 2 เดือน หลังจากในปีถัดๆ ไป ก็จะทิ้งระยะห่างมากขึ้นเป็นทุก 2-3 เดือนจนถึงทุก 6 เดือน
  • หากพบอาการต่อไปนี้ ให้เดินทางมาพบแพทย์โดยทันที
    • ปวดเจ็บแผลมาก
    • แผลบวมแดง
    • แผลมีน้ำเหลืองไหลหรือหนองซึม
    • มีไข้ หนาวสั่น
    • ท้องอืด
    • ท้องเสียอย่างรุนแรง
    • คลื่นไส้อาเจียน

การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง

แม้ปัจจุบันจะมีเทคนิคการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่หลายแบบเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้มากขึ้น แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการป้องกันและดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้ป่วยด้วยโรคนี้ 

ทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีกากใย ดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวัน พยายามหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารที่ไม่สะอาด อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ และหมั่นตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุถึงเกณฑ์

โดยเฉพาะในผู้ที่อายุ 45-50 ปีขึ้นไปซึ่งจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จำเป็นต้องรับการตรวจคัดกรองโรคนี้อย่างสม่ำเสมอ

ปวดท้องบ่อยๆ อุจจาระผิดปกติ กังวลจะเป็นอะไรร้ายแรงมั้ย ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top