ตรวจแมมโมแกรม คืออะไร? ปลอดภัยหรือไม่?

ปัจจุบันมีหลายวิธีในการตรวจมะเร็งเต้านม หากตรวจคลำเต้านมด้วยตัวเองหรือแพทย์คลำให้แล้วพบความผิดปกติ แพทย์จะให้ตรวจเพิ่มเติมเพื่อระบุได้แน่ชัดว่า ความผิดปกติเหล่านั้นคือมะเร็งเต้านมหรือไม่ โดยส่วนมากแล้วมักใช้วิธีแมมโมแกรม ที่สามารถตรวจได้ตั้งแต่มะเร็งระยะแรกๆ

การตรวจแมมโมแกรม

การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) เป็นการเอกซเรย์เต้านมที่ใช้รังสีชนิดพิเศษ (Low-dose X-ray) ถ่ายรูปเต้านมด้านละ 2 รูป ซึ่งจะถ่ายรูปเต้านมจากด้านบนและด้านข้างโดยบีบเนื้อเต้านมเข้าหากัน แต่อาจถ่ายรูปเพิ่มถ้าพบความผิดปกติเกิดขึ้น

แม้จะเป็นการตรวจด้วยรังสี แต่ก็มีปริมาณน้อยกว่ารังสีจากการเอกซเรย์ทั่วไปหลายเท่า จึงไม่กระจายรังสีไปยังอวัยะส่วนอื่นของร่างกาย และการตรวจแมมโมแกรมจะช่วยให้สามารถมองเห็นกระทั่งจุดหินปูนในเต้านม ทำให้สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก

โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งการตรวจออกเป็น 2 แบบ คือ ตรวจในผู้ที่ไม่มีอาการ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพื่อเฝ้าระวัง และตรวจในผู้ที่มีอาการ เช่น คลำเจอก้อนเนื้อที่เต้านม เจ็บเต้านม และมีของเหลวออกจากหัวนม การตรวจจะเป็นไปเพื่อวินิจฉัยโรค

ข้อดีของการตรวจแมมโมแกรม

  • ใช้เวลาไม่นาน
  • ใช้รังสีปริมาณต่ำกว่าการเอกซเรย์ทั่วไป ไม่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ
  • สามารถตรวจมะเร็งเต้านมพบได้ตั้งแต่ระยะแรกที่ไม่มีอาการผิดปกติจนถึงระยะที่มีอาการ แม้แต่เซลล์มะเร็งที่มีขนาดเล็กมาก

การตรวจแมมโมแกรมเหมาะกับใคร?

การตรวจแมมโมแกรมเหมาะสำหรับตรวจผู้ที่คลำเต้านมได้ลำบาก ผู้ที่ผ่านการเสริมหน้าอก และผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป เพราะฉะนั้น ผู้ที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปจึงควรตรวจแมมโมแกรมปีละ 1 ครั้ง ส่วนผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป ควรตรวจปีละ 2 ครั้ง เมื่อตรวจพบความผิดปกติ แพทย์จะนัดตรวจเป็นประจำทุกๆ 3–6 เดือน

วิธีเตรียมตัวก่อนทำแมมโมแกรม

ก่อนรับการตรวจแมมโมแกรม ควรเตรียมตัวดังนี้

  • ไม่ควรทาแป้ง ครีมถนอมผิว และสเปรย์ระงับกลิ่นกายบริเวณเต้านมหรือรักแร้
  • เปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่โรงพยาบาลกำหนด ซึ่งมักเป็นเสื้อที่หลวม สามารถเปิดตรวจเต้านมได้สะดวก
  • หากเคยเสริมหน้าอกหรือมีอาการผิดปกติใดๆ ที่เกี่ยวกับเต้านม เช่น คลำเจอก้อน ควรแจ้งให้ทราบก่อนการตรวจ
  • ตรวจกับสถานพยาบาลที่เคยมีประวัติมาก่อน หรือนำประวัติจากสถานพยาบาลเดิมมาด้วย เพื่อให้แพทย์ใช้ประกอบการวินิจฉัย

ใครไม่ควรตรวจแมมโมแกรม?

แม้การทำแมมโมแกรมจะค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็มีกลุ่มคนที่ไม่แนะนำให้รับการตรวจด้วยวิธีนี้ คือ

  • ผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงใกล้ประจำเดือนมา เพราะเต้านมจะมีอาการคัดตึงมากกว่าปกติ
  • ผู้หญิงที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์

ตรวจแบบแมมโมแกรม Vs ตรวจแบบอัลตราซาวด์

การตรวจแมมโมแกรมและดิจิทัลแมมโมแกรม ต่างก็ใช้รังสีเพื่อสร้างภาพของเต้านม ต่างกันแค่การตรวจแมมโมแกรมเป็นการตรวจบนฟิล์มเอกซเรย์ ส่วนดิจิทัลแมมโมแกรมในโปรแกรมดิจิทัลที่ปรับปรุง ขยาย หรือปรับแต่งเพื่อประเมินเพิ่มเติมให้เห็นมุมมองมากขึ้น

ขณะที่การตรวจอัลตราซาวด์ เป็นการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปในเต้านม คลื่นเสียงจะสะท้อนกลับมาที่เครื่องและแสดงความแตกต่างของเนื้อเยื่อที่ตรวจพบว่าผิดปกติหรือไม่ และสิ่งผิดปกติที่พบเป็นถุงน้ำหรือก้อนเนื้อ แต่ไม่สามารถตรวจหาจุดหินปูนในเต้านมได้แบบวิธีแมมโมแกรม

อย่างไรก็ตาม ในสถานพยาบาลหลายแห่งมักตรวจแมมโมแกรมควบคู่กับไปการตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อการวินิจฉัยที่ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น

การตรวจแมมโมแกรมเจ็บไหม?

อาจรู้สึกไม่สบายตัวขณะทำแมมโมแกรมโดยเฉพาะช่วงที่มีการบีบอัดเต้านม ทั้งนี้ระดับความรู้สึกของแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ขนาดของเต้านม
  • ความอ่อนโยนของเต้านมที่อาจเกี่ยวกับรอบประจำเดือน
  • ความชำนาญของผู้ให้บริการ

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายตัวจะเกิดขึ้นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ส่วนมากกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบจะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที โดยช่วงที่อาจก่อให้เกิดความเจ็บจะมีเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

การตรวจแมมโมแกรมอันตรายไหม?

แมมโมแกรมเป็นการตรวจที่ปลอดภัย เช่นเดียวกับการถ่ายภาพเอกซเรย์แบบอื่นๆ ที่คุณจะได้รับรังสีปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำมาก

หากคุณอยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือมีความกังวลต่อการตรวจแมมโมแกรม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการ

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากตรวจแมมโมแกรม

หลังทำแมมโมแกรมแล้วผิวบริเวณเต้านมอาจเปลี่ยนสีบ้างเล็กน้อยจากแรงกด บางคนอาจมีความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่อาการจะคงอยู่ชั่วคราวเท่านั้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที

แพทย์จะทำการอ่านผลให้ฟังว่าพบสิ่งผิดปกติใดๆ หรือไม่ หากพบแล้วขั้นตอนต่อไปที่ควรทำจะเป็นอย่างไร เช่น อาจต้องทำแมมโมแกรมเพิ่มเติม หาภาพแมมโมแกรมเก่ามาเปรียบเทียบ นัดวันตรวจรอบต่อไปตามปกติ หรืออาจมีการส่งตรวจชิ้นเนื้อ

ผลลัพธ์ของการตรวจแมมโมแกรม

ผลลัพธ์ของการตรวจแมมโมแกรมที่อาจเป็นไปได้ อาจมีดังนี้

  • ก้อนน้ำ หรืออาจเรียกอีกอย่างได้ว่าซีสต์ (Cyst) ลักษณะมักจะมีขอบเขตของก้อนที่ดูเรียบร้อย โดยปกติมักจะไม่ใช่ก้อนเนื้อมะเร็ง
  • ก้อนเนื้อ ลักษณะมักจะขอบเขตของก้อนเป็นแฉกไม่เสมอ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเนื้อร้าย ซึ่งแพทย์มักให้นำชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มเติม
  • จุดหินปูน ซึ่งอาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ รวมถึงมีทั้งแบบที่อันตรายและไม่อันตราย

ผลลัพธ์ทั้ง 3 รูปแบบนี้อาจต้องรับการตรวจเพิ่มเติม หรือไม่ต้องก็ได้ ขึ้นอยู่กับแพทย์ตัดสินใจ

ควรตรวจแมมโมแกรมบ่อยแค่ไหน?

โดยปกติความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมมักจะเพิ่มขึ้นตามอายุ สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Cancer Society) จึงแนะนำว่าผู้หญิงอายุที่อายุ 40-44 ปีควรเริ่มมาตรวจแมมโมแกรมอย่างน้อย 1 ครั้ง และเมื่ออายุ 45-54 ปี ควรมาตรวจแมมโมแกรมทุกปีปีละครั้ง และผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป ควรตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี

อย่างไรก็ตาม ความถี่ในการตรวจแมมโมแกรมที่แนะนำจากแต่ละสถาบันอาจมีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ว่าความถี่ที่เหมาะสมในการตรวจแมมโมแกรมที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุดคือเท่าไร

หากแพทย์เห็นว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมสูง หรือมีญาติเคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านมตั้งแต่อายุน้อย คุณอาจต้องเริ่มตรวจแมมโมแกรมเร็วขึ้น

Scroll to Top