voice feminization surgery for transgender women scaled

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงจากชายเป็นหญิง

เสียงเป็นหนึ่งในสิ่งที่บ่งบอกความเป็นเพศชาย และเพศหญิง ซึ่ง ผู้หญิงข้ามเพศ (Transgender women) หลายคน ยังคงมีเสียงที่ทุ้มต่ำเหมือนผู้ชาย แม้ว่าจะผ่านการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงมาแล้วก็ตาม ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้หญิงข้ามเพศบางรายรู้สึกไม่มั่นใจขณะพูด หรือออกเสียง และจำเป็นต้องดัดเสียงให้แหลมสูงอยู่เสมอ

มีคำถามเกี่ยวกับ การผ่าตัดเสียง? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

สำหรับผู้หญิงข้ามเพศคนใดที่รู้สึกไม่มั่นใจในเสียงของตนเอง และกำลังมองหาวิธีแก้ไข เราจะพาไปทำความรู้จักกับ “การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง” หนึ่งในกระบวนการแปลงเพศชายเป็นหญิง (MTF sex reassignment surgery) ที่จะช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษามีเสียงสูงแหลมคล้ายผู้หญิงอย่างถาวร

ทำความรู้จักกับกลไกการออกเสียง

ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง เราควรทำความเข้าใจกลไกการออกเสียงในมนุษย์ก่อน

การออกเสียง หรือเปล่งเสียงนั้น เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหาร โดยกลไกการออกเสียง มีดังนี้

  • เมื่อเราเริ่มพูด ลมหายใจออกจะผ่านออกจากปอดและหลอดลมไปยังเส้นเสียง 2 เส้น ทำให้กล้ามเนื้อของเส้นเสียงดึงเส้นเสียงทั้ง 2 เส้น เข้ามาชิดกัน
  • ลมหายใจจากปอดนี้ จะทำให้เส้นเสียง 2 เส้น เปิด-ปิด อย่างเป็นจังหวะ และทำให้เกิดการสั่นพริ้ว
  • ระดับความถี่ในการสั่นพริ้วของเส้นเสียง จะส่งผลต่อระดับความสูง-ต่ำของเสียง หากมีความถี่สูงเสียงก็จะสูง หากมีความต่ำเสียงก็จะทุ้ม
  • เสียงที่เกิดจากการสั่นพริ้วของเส้นเสียงอย่างเดียวจะคล้ายกับเสียงปี่ มีแค่เสียงสูง และต่ำ
  • เมื่อมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของอวัยวะช่องคอ และช่องปากร่วมด้วย ก็จะทำให้เสียงสูง-ต่ำนี้ กลายเป็นเสียงพูดขึ้นมา

โดยความยาวของเส้นเสียงจะส่งผลต่อระดับความถี่ของเส้นเสียงขณะพูด ซึ่งในผู้ชายและผู้หญิงมีระดับความยาวของเส้นเสียงไม่เท่ากัน ทำให้มีระดับเสียงที่ความแตกต่างกัน ดังนี้

  • ผู้ชายมีสายเสียงยาวกว่าผู้หญิง ทำให้มีระดับความถี่ของการสั่นต่ำกว่า 200 เฮิร์ทซ์ ทำให้ผู้ชายมีเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าผู้หญิง
  • ผู้หญิงมีสายเสียงสั้นกว่าผู้ชาย มีระดับความถี่ของการสั่นที่ 200-250 เฮิร์ทซ์ ทำให้ผู้หญิงมีเสียงที่สูงแหลมกว่าผู้ชาย

การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงจากชายเป็นหญิง คืออะไร?

การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงจากชายเป็นหญิง (Voice Feminization surgery) คือ การผ่าตัดปรับแต่งเส้นเสียง (Vocal fold) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีระดับเสียงที่สูงขึ้น

โดยแพทย์จะผ่าตัดเส้นเสียงให้สั้นลงด้วยวิธีการส่องกล้อง โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระดับความสูง-ต่ำของเสียง ได้แก่

  • ความยาวของเส้นเสียง (Length)
  • แรงตึงของเส้นเสียง (Tension)
  • มวลของเส้นเสียง (Mass)

ผลลัพธ์ของการผ่าตัดจะทำให้การสั่นของเส้นเสียงมีระดับความถี่ที่เพิ่มมากขึ้น เทียบเท่ากับค่าความถี่พื้นฐานของเสียงผู้หญิง หรือประมาณ 200-250 เฮิร์ทซ์ ซึ่งส่งผลให้มีระดับเสียงที่สูงแหลมขึ้น

นอกจากการผ่าตัดเส้นเสียงโดยตรงแล้ว ยังมีอีกเทคนิคหนึ่ง คือการผ่าตัดกระดูกอ่อนคริคอยด์ (Cricoid Cartilage) และกระดูกอ่อนไทรอยด์ (Thyroid Cartilage) ที่อยู่ในกล่องเสียง เพื่อทำให้เส้นเสียงตึงขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับความถี่ของการสั่นของเส้นเสียงได้

วิธีนี้มีข้อดีคือจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเส้นเสียง สามารถทำพร้อมกับการผ่าตัดกรอลูกกระเดือกได้เลย แต่จำเป็นต้องเปิดแผลที่บริเวณลำคอ และมีโอกาสที่เส้นเสียงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อระยะเวลาผ่านไป

มีคำถามเกี่ยวกับ การผ่าตัดเสียง? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ด้วยความที่การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงมีหลายเทคนิค และแพทย์แต่ละคนมีความถนัดที่ต่างกัน ผู้ที่สนใจเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนผ่าตัด เพื่อเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และเลือกรูปแบบการผ่าตัดที่เหมาะสมกับตนเอง

ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

ผู้ที่ต้องการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิงจะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพร่างกายทั่วไป ระดับเสียง และลักษณะของเส้นเสียง และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

โดยหลังจากที่แพทย์ประเมินแล้วว่า สามารถเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิงได้ แพทย์จะนัดหมายวันผ่าตัด ซึ่งผู้เข้ารับการผ่าตัดจะต้องเตรียมตัวตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น

  • งดยาและอาหารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin) น้ำมันตับปลา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
  • งดวิตามิน หรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการบวมช้ำของแผล เช่น วิตามินเอ อี หรือน้ำมันตับปลา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
  • หากมีโรคประจำตัว กำลังรับประทานยารักษาโรค หรือมีประวัติแพ้ยา จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
  • งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงแผลไม่ดี และมีโอกาสทำให้แผลเกิดเนื้อตายได้

ขั้นตอนการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง เป็นอย่างไร?

  • ระงับความรู้สึก โดยใช้ยาสลบ
  • แพทย์ผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
    • ในกรณีที่ผ่าตัดเส้นเสียงจะใช้การผ่าตัดส่องกล้อง และเย็บแผลด้วยไหมไม่ละลาย (แต่ไม่จำเป็นต้องตัดไหม)
    • ในกรณีที่ผ่าตัดเปลี่ยนเสียงด้วยวิธีการผ่าตัดกระดูกอ่อนคริคอยด์และกระดูกอ่อนไทรอยด์ในกล่องเสียง แพทย์จะเปิดแผลบริเวณรอยพับใต้คาง
  • เมื่อผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะให้นอนพักสังเกตอาการ 1-2 ชั่วโมง หากไม่มีอาการผิดปกติก็จะให้พักฟื้นต่อที่โรงพยาบาล 1 คืน หรือสามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้

หลังเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง ต้องดูแลตนเองอย่างไร?

  • งดใช้เสียงเด็ดขาด ในช่วง 7-10 วันแรกหลังการผ่าตัด
  • ในวันที่ 3 หลังวันผ่าตัดเป็นต้นไป ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันการเกิดอาการคอแห้ง
  • รับประทานยา และพ่นยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็น
  • รับประทานอาหารรสอ่อน ในช่วง 1 เดือนแรกหลังผ่าตัด
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน เช่น อาหารไขมันสูง ผลไม้ที่มีกรดสูง อาหารหมักดอง น้ำสมสายชู หมากฝรั่ง น้ำอัดลม ช็อกโกแลต หรือกาแฟ ในช่วง 1 เดือนแรกหลังผ่าตัด
  • งดสูบบุหรี่ และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วง 1 เดือนแรกหลังผ่าตัด
  • เมื่อครบ 7-10 วันหลังผ่าตัด แพทย์จะนัดหมายให้เข้าไปตรวจดูกล่องเสียง และการทำงานของเส้นเสียง หากไม่มีอะไรผิดปกติ จะส่งให้ฝึกพูดและออกเสียงกับนักอรรถบำบัด
  • แพทย์จะนัดตรวจติดตามผลการรักษาเป็นระยะ ตั้งแต่ 1 เดือน 3 เดือน 6 ปี และ 1 ปี

หลังผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง ทำไมต้องฝึกพูดกับนักอรรถบำบัด?

การฝึกออกเสียง และฝึกพูดกับนักอรรถบำบัดเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหลังจากผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิงแล้ว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นเสียง และกล่องเสียง ซึ่งในบางรายอาจส่งผลให้ออกเสียงไม่ เสียงแหบ หรือเสียงแย่กว่าเดิม

นักอรรถบำบัดจึงมีส่วนสำคัญที่เข้ามาช่วยฟื้นฟูการออกเสียงให้กลับมาสมบูรณ์

โดยนักอรรถบำบัดจะฝึกให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดสามารถออกเสียง ควบคุมการเคลื่อนไหวของลิ้น การเน้นเสียง หรือการใช้ท่าทางของผู้หญิงอย่างเป็นระบบ

ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดสามารถออกเสียงเหมือนผู้หญิงได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น

  • ในช่วง 7 วัน ถึง 1 เดือนแรก หลังผ่าตัด เริ่มหัดออกเสียงทีละ 1-2 คำ
  • ในช่วง 1-2 เดือน หลังผ่าตัด เริ่มฝึกพูดบทสนทนาสั้นๆ
  • ในช่วง 2-3 เดือน หลังผ่าตัด เริ่มฝึกพูดบทสนทนายาวๆ
  • ในช่วง 3 เดือน ถึง 1 ปี เริ่มฝึกบริหารการใช้เสียงจนกว่าจะสามารถออกเสียง หรือพูดคุยเหมือนผู้หญิง ได้เป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์

ผลข้างเคียง หรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง มีอะไรบ้าง?

  • ความเสี่ยงทั่วไปจากการผ่าตัด เช่น แพ้ยาชา หรือยาสลบ เกิดการติดเชื้อ อักเสบ มีเลือดออก
  • เสียงเปลี่ยน หรือเสียงมีคุณภาพแย่ลง
  • โทนเสียงสูงขึ้นมากเกินไป ไม่เป็นธรรมชาติ
  • ระดับเสียงสูงขึ้นอย่างไม่คงที่

ผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง ราคาเท่าไร ทำที่ไหนดี?

ราคาผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง เริ่มต้นที่ 90,000 บาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละสถานพยาบาล ซึ่งอาจรวมค่าบริการทางแพทย์ และค่าทำกายภาพเสียงกับนักอรรถบำบัดแล้ว หรือยังไม่รวมก็ได้

ผู้ที่สนใจผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิงควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมก่อน

การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิงนั้น เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ต้องให้ความสำคัญทั้งในขั้นตอนการผ่าตัด และการฟื้นฟูเสียงกับนักอรรถบำบัดอย่างเป็นระบบ

ผู้ที่สนใจผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นเสียงจึงควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด และเลือกทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญสูง กับโรงพยาบาลที่ได้รับมาตรฐาน เชื่อถือได้

มีคำถามเกี่ยวกับ การผ่าตัดเสียง? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ HDcare โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ พยาบาล HDcare