causes of swollen eyes

ตาบวมข้างเดียว ตาบวมสองข้าง สาเหตุ วิธีป้องกัน รักษา

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญของทุกคน เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นกับดวงตา เช่น ตาบวม เราจึงมักตื่นกลัวอยู่เสมอ เพราะไม่รู้ว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากอะไร ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจกับสาเหตุของอาการตาบวมที่พบได้บ่อย ทั้งตาบวมข้างเดียว ตาบวมสองข้าง เพื่อจะได้ป้องกันและรักษาเบื้องต้นได้ถูกวิธี

มีคำถามเกี่ยวกับ ตาบวม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

สาเหตุของอาการตาบวม

อาการตาบวมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง เกิดได้จากหลายสาเหตุ คุณควรสังเกตลักษณะและอาการของตนเองดูว่าเกิดจากอะไร เพื่อจะได้หาวิธีรักษาอย่างถูกต้อง โดยสาเหตุที่พบบ่อยของอาการตาบวม มีดังนี้

1. ตากุ้งยิงชนิดติดเชื้อ (Hordeolum)

ตากุ้งยิงชนิดติดเชื้อ จะมีลักษณะเป็นก้อนกลมบวมแดงบริเวณเปลือกตาใกล้กับขนตา เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ อาจมีหนองไหลออกจากดวงตา บางคนปวดตลอดเวลา

ตากุ้งยิงชนิดนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สแตฟฟิลโลคอคคัส (Staphylococcus) เข้าไปทำให้ต่อมไขมันไมโบเนียน (Meibomian gland) ซึ่งทำหน้าที่ปล่อยไขมันควบคุมความสมดุลของน้ำตาจนเกิดการอักเสบ

ลักษณะของตากุ้งยิงที่ติดเชื้อ สามารถแบ่งย่อยได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้

  • ตากุ้งยิงชนิดหัวเข้า (Internal hoedeolum) จะเกิดการบวมขึ้นจากภายใน และต้องปลิ้นเปลือกตาออกถึงจะมองเห็นหัวตากุ้งยิงภายใน
  • ตากุ้งยิงชนิดหัวออก (External hordeolum) จะสามารถสังเกตหัวของตากุ้งยิงได้จากภายนอก มักเกิดบริเวณโคนตา

อย่างไรก็ตาม ตากุ้งยิงอาจเกิดได้ทั้งชนิดเดียวหรือเกิด 2 ชนิดพร้อมกันก็ได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา

2. ตากุ้งยิงชนิดไม่ติดเชื้อ (Chalazion)

ตากุ้งยิงชนิดนี้เกิดจากต่อม ไมโบเมียน (Meibomian gland) อุดตัน ทำให้ไขมันที่ช่วยควบคุมสมดุลดวงตาสะสมภายในผนังต่อมจนบวมขึ้นมา โดยปกติ สามารถรักษาหายได้ด้วยตัวเองในไม่กี่สัปดาห์ แต่หากรักษาความสะอาดไม่ดี ก็มีโอกาสจะกลายเป็นตากุ้งยิงชนิดติดเชื้อได้

ตากุ้งยิงชนิดนี้มีลักษณะเป็นก้อนกลมแข็งๆ ขนาดใกล้เคียงกับถั่วเขียวบริเวณเปลือกตา เมื่อนำมือสัมผัสจะไม่มีอาการเจ็บ แต่จะสังเกตเห็นได้ชัด ตากุ้งยิงชนิดนี้เรียกอีกอย่างได้ว่า “ซีสต์ (Cyst)” ที่ตา

3. โรคภูมิแพ้ (Allergies)

โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นบางอย่าง จนเกิดเป็นอาการแพ้แสดงออกมา แม้สิ่งนั้นจะไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงก็ตาม เช่น เกสรดอกไม้ ไรฝุ่นเล็กน้อย เชื้อรา อาหารทะเล

อาการของโรคภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้หลายส่วนของร่างกาย เช่น ผื่นคัน ปากบวม คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่สะดวก และหนึ่งในนั้นก็คือ อาการตาบวม น้ำตาไหล ซึ่งผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักจะเผลอเอามือไปขยี้ตาข้างที่บวม จนอาจเกิดอาการแทรกซ้อนตามมา เช่น เป็นตาแดง ตากุ้งยิง

4. ตาแดง (Pink eye)

ตาแดงเกิดจากการติดเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางการสัมผัสน้ำตา และทางอากาศ หากติดเชื้อแล้วจะใช้เวลา 1-2 วันก่อนจะเริ่มแสดงอาการ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อาจทำให้กระจกตาอักเสบจนมีอาการปวดตตา และสายตามัวได้

ตาแดง คืออาการที่เยื่อบุตามีสีแดงหรือชมพูเข้ม อีกทั้งน้ำตาไหลเยอะ มีหนองเหนียวเคลือบดวงตา อาจติดที่ขอบตา หรือขนตาด้วย เปลือกตาบวม ทำให้เกิดความระคายเคือง และอาการสามารถลุกลามไปยังตาอีกข้างหนึ่งได้ภายใน 2-3 วัน

5. ร้องไห้มากเกินไป (Crying)

การร้องไห้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็สามารถทำให้เปลือกตาบวมได้เช่นกัน เนื่องจากเวลาเราร้องไห้ จะมีเลือด และของเหลวมาเลี้ยงบริเวณดวงตาเยอะ หากร้องไห้เป็นเวลานาน จะทำให้เส้นเลือดฝอยในตา และเปลือกตาแตก ทำให้เกิดการสะสมของเหลวบริเวณรอบดวงตาจนตาบวมได้

มีคำถามเกี่ยวกับ ตาบวม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

อาการตาบวมที่เกิดจากการร้องไห้มากเกินไปมักไม่มีอันตรายร้ายแรง อาจใช้การประคบเย็นหรือดื่มน้ำทดแทน ก็สามารถบรรเทาอาการได้

6. เนื้อเยื่อเบ้าตาอักเสบ (Orbital cellulitis)

เนื้อเยื่อเบ้าตาอักเสบเกิดได้จากการติดเชื้อหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยที่สุด คือ แบคทีเรีย สแตฟฟิลโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) เข้าไปทำให้เยื้อกั้นหลังเบ้าตา (Orbital septum) ซึ่งเป็นเยื่อบางๆ จนเกิดการอักเสบ

คนที่เนื้อเยื่อเบ้าตาอักเสบจะมีอาการดังต่อไปนี้

  • รอบดวงตาบวมมาก
  • ระคายเคืองตา
  • ปวดตา
  • เยื่อบุตาเป็นสีแดงคล้ายกับโรคตาแดงแต่กลอกตาไปมาลำบาก หรืออาจกลอกตาไม่ได้เลย
  • การมองเห็นแย่ลง

หากมีอาการดังที่กล่าวมาด้านบนรวมกับมีไข้ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบไปพบจักษุแพทย์

7. โรคเกรฟส์ (Graves’ disease)

โรคเกรฟส์ คือ โรคต่อมไร้ท่อผิดปกติส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ (Thyriod) ทำงานมากเกินไป ซึ่งต่อมไทรอยด์จะทำหน้าที่ส่งเซลล์ขึ้นไปเพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อยู่บริเวณดวงตา ทั้งๆ ที่ยังไม่เกิดการติดเชื้อ และการเพิ่มจำนวนของเซลล์เหล่านั้น จึงทำให้เกิดการสะสม และบวมขึ้นในที่สุด

อาจกล่าวได้ว่าโรคนี้อาจไม่ใช่โรคที่เกี่ยวกับดวงตาโดยตรง แต่ส่งผลทำให้ตาบวมได้

หากปล่อยไว้อาจเกิดการอีกเสบในตาได้ ซึ่งการรักษาต้องรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ หรือใช้ยาหลายประเภท

วิธีรักษาอาการตาบวมเบื้องต้น

หากเกิดอาการตาบวมแดงข้างเดียวในระยะเริ่มต้น และอาการยังไม่รุนแรง สิ่งที่สามารถทำได้ทันทีเพื่อบรรเทาอาการ มีดังต่อไปนี้

  • ประคบตาด้วยผ้าชุบน้ำเย็น แต่หากทราบว่าเป็นซีสต์หรือตากุ้งยิง ให้ประคบด้วยผ้าอุ่นๆ แทน
  • ล้างตาด้วยน้ำเกลือสะอาด (Saline solution) เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ทำให้ระคายเคืองตา
  • หากเป็นตาแดง ให้ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดรอบดวงตา
  • ประคบตาด้วยถุงชาดำแช่เย็น เนื่องจากคาเฟอีนในชาช่วยลดอาการบวมได้
  • หนุนหมอนสูงขึ้นเล็กน้อยขณะนอนหลับ เพื่อช่วยการไหลเวียนของเหลวที่อยู่ในร่างกาย
  • ทำความสะอาดหมอนให้สะอาด เพื่อลดโอกาสเกิดภูมิแพ้จากไรฝุ่น

กรณีฉุกเฉินที่ควรไปพบจักษุแพทย์

ในกรณีที่ตาบวมแดงจากสาเหตุอันตราย อาจส่งผลกระทบร้ายแรงแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ ดังนั้นจึงควรสังเกตว่า มีอาการตาบวมร่วมกับอาการเหล่านี้หรือไม่ หากมี ควรไปพบจักษุแพทย์ทันที

  • มีไข้ขึ้นสูง
  • เวียนหัว สับสน
  • มองเห็นภาพซ้อน
  • กลอกตาลำบาก
  • เจ็บภายในดวงตา หรือรู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่ในดวงตา

ตาบวมข้างเดียว พร้อมอาการผิดปกติ

มีหลายคำถามส่งเข้ามาถามเกี่ยวกับตาบวม ซึ่งมีหลากหลายอาการที่เกิดร่วมกับตาบวม การตรวจวิเคราะห์ว่าผิดปกติเพราะอะไรนั้น ควรให้จักษุแพทย์ตรวจดูโดยละเอียด ยากที่จะตัดสินจากภาพถ่ายหรือการพบแพทย์หน้ากล้อง

ตัวอย่างอาการตาบวมข้างเดียวที่พบได้

  • ตาบวมข้างเดียว คันเปลือกตาและลอกเล็กน้อย ตอนนอนมันคันมากเอามือไปเกา เช้ามาเลยบวม พอไม่เกาก็ยุบ
  • ตาด้านซ้ายมีอาการบวม ตรงมุมตาด้านใน เจ็บตานิดหน่อย เป็นข้างเดียว มีน้ำตาไหลตลอดเวลา มีขี้ตาเป็นสีเหลืองๆ
  • ตาด้านขวามีอาการบวมแบบไม่รู้สาเหตุ ตาแฉะต้องเช็ดตลอด
  • อื่นๆ

อาการตาบวมในผู้ป่วยบางรายอาจต้องเจาะหรือผ่าหนองออกมา ไม่สามารถรักษาด้วยตนเองได้ หากปล่อยทิ้งไว้อาการอาจหนักมากขึ้น จึงควรไปพบจักษุแพทย์

ข้อควรระวังเมื่อเกิดอาการตาบวม

  • ไม่ควรใส่คนแทคเลนส์ระหว่างที่เกิดอาการตาบวม
  • ไม่ควรใช้มือที่ไม่สะอาดสัมผัสบริเวณรอบดวงตา เพราะอาจติดเชื้อได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางระหว่างที่เกิดอาการตาบวม

คุณสามารถป้องกันอาการป้องกันอาการตาบวมแดง ตาบวมข้างเดียว เบื้องต้นได้ โดยรักษาความสะอาดของดวงตาเป็นประจำ หากเป็นโรคเกี่ยวกับตา ก็ให้หมั่นดูแลตนเอง รับประทาน หรือหยอดตาตามแพทย์สั่งให้อาการดีขึ้นโดยเร็ว เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจทำให้ตาบวมกว่าเดิมได้ หากมีอาการที่หนักขึ้นใน 3 วัน ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดูอาการ

มีคำถามเกี่ยวกับ ตาบวม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ